"เราจะกลับมาอีกครั้ง" เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยน์ลีก : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1 เชลซี

Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final
Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final / Matthew Ashton - AMA/Getty Images
facebooktwitterreddit

การแข่งขัน : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2020/21 รอบชิงชนะเลิศ
วันแข่งขัน : คืนวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2021
เวลาแข่งขัน : 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1 เชลซี
สนาม : อิชตาดีอูดูดราเกา ประเทศโปรตุเกส


1. เป๊ป ยังคง "อินดี้"

Pep Guardiola
Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final / Carl Recine - Pool/Getty Images

หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบมาพูดถึงมากที่สุดของเกมนี้คงหนีไม่พ้นการจัดตัวผู้เล่นลงสนามของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่ดูจะขัดใจแฟนบอล เรือใบสีฟ้า บางส่วนอยู่บ้าง ด้วยการส่ง อิลคาย กุนโดกัน ที่เพิ่งจะหายเจ็บกลับมาลงประจำการเป็นกลางรับคนเดียวในทีม พร้อมกับอัดตัวรุกลงมาถึง 5 คนพร้อม ๆ กัน ซึ่งต้องบอกว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในวันนี้ที่แม้จะครองบอลได้มากกว่าแต่กลับไม่สามารถสร้างอันตรายต่อแนวรับของ เชลซี ได้เลย จึงเกิดคำถามคาใจขึ้นมาว่าหากพวกเขาจัดทีมในแบบที่ถนัด หรืออย่างน้อยแบบในเกมกับ ปารีสฯ รอบ 4 ทีมสุดท้าย ผลงานอาจจะต่างออกไปจากนี้หรือไม่ มันก็น่าคิดเลยทีเดียว

2. เชลซี คืนฟอร์มได้ถูกเวลา

Thomas Tuchel
Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final / David Ramos/Getty Images

แม้ฟอร์มในช่วงหลายนัดก่อนหน้านี้ของ สิงโตน้ำเงินคราม จะออกทะเลไปไกลถึงขนาดแพ้ 3 จาก 4 นัดหลังสุด แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกลับเข้าฝั่งได้ทันเวลาในเกมสำคัญเช่นนี้ เพราะหากดูตลอด 90 นาที จะเห็นได้ว่า พลพรรคสิงห์บลู สามารถเล่นได้อย่างมีสมาธิตามแผนที่วางไว้ทั้งหมด ทั้งเกมรับและจังหวะสวนกลับ แถมนักเตะหลายคนยังดาหน้าเค้นฟอร์มเก่งออกมาจนพาทีมผงาดคว้าแชมป์ในวันนี้ไม่ว่าจะเป็น ฮาเวิร์ตซ์ รีซ เจมส์ หรือแม้แต่ ก็องเต้ แต่อย่างไรก็ตามต้องยกเครติดส่วนใหญ่ให้กับกุนซือ โธมัส ทูเคิล ที่วางหมากมาได้อย่างยอดเยี่ยม และเมื่อบวกกับนักเตะที่เล่นได้ตามที่ซ้อม ทุกอย่างจึงออกมาลงตัวไปหมดตลอด 90 นาทีในเกมวันนี้

3. เรือใบยิงเข้ากรอบ 1 ครั้ง

Pep Guardiola, Sergio Aguero
Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final / Susan Vera - Pool/Getty Images

คงเป็นสถิติอันเหลือเชื่อพอสมควรหากจะบอกว่าทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะยิงคู่แข่งเข้ากรอบเพียงแค่ครั้งเดียวตลอด 90 นาที แต่มันก็เป็นไปแล้วในเกมวันนี้ โดยต้องบอกว่า เอดูอาร์ด เมนดี้ แทบไม่เจอบททดสอบใด ๆ เลยจากบรรดาแข้งระดับเวิลด์คลาสของ แมนฯ ซิตี้ ไม่เพียงแค่นั้นเอาแค่จะเจาะเข้าเขตโทษในเกมนัดนี้ยังมีให้เห็นนับครั้งได้ ทำให้ต้องเคาะบอลไปมาหาช่องและเสียบอลในที่สุด ซึ่งก็ต้องชมแนวรับ เชลซี ที่ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีพร้อมกับโชว์ฟอร์มได้ตามมาตรฐาน ขณะที่ฝั่งคู่แข่งดูจะเล่นได้ผิดฟอร์มกันเกือบหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ เรือใบสีฟ้า ไม่ดีพอจะเป็นผู้ชนะในเกมวันนี้

4. สเตอร์ลิง เป็นแพะรับบาป

Raheem Sterling
Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final / Susan Vera - Pool/Getty Images

เกมนี้ หนึ่งในนักเตะที่เซอร์ไพรส์มีชื่อลงสนามมากที่สุดคนหนึ่งของ แมนฯ ซิตี้ คงหนีไม่พ้นลูกรักอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ฟอร์มในช่วงหลังดร็อปลงอย่างน่าใจหาย ซึ่งแน่นอนวันนี้เป็นอีกวันที่ไม่ใช่วันดีของเขาเท่าใดนัก ที่แม้จะได้โอกาสเล่นกับบอลค่อนข้างเยอะหากเทียบกับคนอื่นในแผงเกมรุก แต่ก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากพอ จนเมื่อเกมจบลงด้วยความพ่ายแพ้ เขาจึงตกเป็นเป้าโจมตีของแฟนบอลที่อารมณ์กำลังเดือดในทันที

แต่ในขณะเดียวกันสตาร์ดังคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ผลงานดีไปกว่ากันมากนักทั้ง โฟเด้น หรือ มาห์เรซ ที่แทบจะไม่มีอิมแพ็คกับเกมเลย ไม่เว้นแม้แต่ เควิน เดอ บรอยน์ ที่วันนี้ได้บอลน้อยมาก กลับถูกเสียงตำหนิติเตียนน้อยกว่าฝั่ง สเตอร์ลิง อย่างชัดเจนทั้งที่เจ้าตัวก็ทุ่มเทเต็มที่ไม่แพ้คนอื่น ๆ โชคร้ายกลับกลายเป็นโดนถาโถมหนักที่สุดในบรรดาแข้ง เรือใบสีฟ้า ที่ว่ากันตามตรงควรต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งทีมกับผลงานอันย่ำแย่ในค่ำคืนที่ผ่านมา

5. สิงห์ แชมป์สมัยสอง / เรือใบ "เราจะกลับมา"

Pep Guardiola
Manchester City v Chelsea FC - UEFA Champions League Final / Matthew Ashton - AMA/Getty Images

ชัยชนะในเกมนี้ส่งให้ เชลซี เป็นแชมป์ถ้วยบิ๊กเอียร์สมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรถัดจากปี 2012 ที่พวกเขาทำได้เป็นครั้งแรก ซึ่งจัดว่ามากเป็นอันดับ 3 ในอังกฤษเทียบเท่า น็อตติงแฮม ฟอร์เรส เป็นรองเพียง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (3 สมัย) และ ลิเวอร์พูล (6 สมัย) เท่านั้น

ในขณะที่ เรือใบสีฟ้า ทำสถิติเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในปีนี้นั้น ยังคงต้องรอต่อไป แต่เชื่อได้เลยว่าด้วยศักยภาพของสโมสร บุคลากร เงินลงทุน และปัจจุยต่าง ๆ นา ๆ พวกเขาคงรออีกไม่นานอย่างแน่นอนเพื่อที่จะมีชื่อติดอยู่ในหอเกียรติยศว่าเป็นหนึ่งในทีมที่เคยเป็นเจ้ายุโรปอย่างแท้จริง ดังเช่นที่ เป๊ป ให้สัมภาษณ์หลังเกมวันนี้ว่า "สักวันหนึ่งผมจะพาทีมกลับมาอยู่จุดนี้อีกครั้ง" นั่นเอง...


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด