เรอัล มาดริด 2-0 เชลซี : เก็บตก 5 ประเด็นหลังเกม สิงห์ 10 ตัวแพ้สบาย จ่อปิ๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
รายการ: | ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2022/23 |
---|---|
วันแข่งขัน: | วันพุธที่ 12 เมษายน 2023 |
สนาม: | ซานติอาโก้ เบร์นาเบว |
ผลการแข่งขัน: | เรอัล มาดริด 2-0 เชลซี |
กองหน้าทำพัง
ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจั่วหัวมาแบบนี้กี่ครั้งแล้ว แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ เชลซี สลัดไม่หลุดว่า บรรดากองหน้าของพวกเขามันไร้ประสิทธิภาพ จนยิงประตูใครไม่ได้มา 4 เกมซ้อนเข้าไปแล้ว
- แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-2
เสมอ ลิเวอร์พูล 0-0
แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน 0-1
แพ้ เรอัล มาดริด 0-2
กับเกมนี้ แม้ไม่อาจแน่ใจได้ว่าผลการแข่งขันจะเข้าทาง เชลซี จริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้าจังหวะหลุดเดี่ยวพุ่งพรวดจากกลางสนามของ เจา เฟลิกซ์ ตั้งแต่ 2 นาทีแรก กลายเป็นประตูนำของ เชลซี 1-0 ก็แน่อยู่แล้วว่าพวกเขาจะไม่กลับออกจาก ซานติอาโก้ เบร์นาเบว แบบมือเปล่าพร้อมสถิติปืนฝืดติดกัน 4 นัด
ควรต้องถือว่า เฟลิกซ์ ทำได้น่าผิดหวัง (ก็เหมือนเดิม) กับการโขยกลุยเดี่ยวขึ้นไปแล้วแต่ความเร็วมีไม่พอให้ฉีกหนี เอแดร์ มิลิเตา แบบเบ็ดเสร็จ กระทั่งโดนเซนเตอร์แบ็ก เรอัล มาดริด ถอยลงมาดักทางไม่ให้เล่นง่าย และกองหน้าโปรตุเกสก็ซัดไปกระแทกตัว ติโบต์ กูร์กตัวส์ อย่างไม่มีชั้นเชิง
การที่ยังคงบวกสกอร์เพิ่มไม่ได้ ทำให้จำนวนประตูของ เฟลิกซ์ แช่แข็งอยู่ที่ 2 เม็ด จากการลงสนามให้ เชลซี เป็นเกมที่ 13 แล้ว -- แน่ใจนะว่าจะซื้อขาด?
ตัวความหวัง...ลมๆ แล้งๆ
เวลาเดียวกัน ราฮีม สเตอร์ลิ่ง (ที่ แลมพาร์ด อวยนักอวยหนาก่อนเกม) ก็ทำให้เห็นว่า "ปีกคือปีก ไม่ใช่ศูนย์หน้า" และเขาไม่ใช่ โรนัลโด้ หรือ เมสซี่ ที่จะทำได้ดีไปหมดทุกอย่าง
การต้องยืนเป็นคู่กองหน้า ดูไม่ใช่งานถนัดของ สเตอร์ลิ่ง เมื่อแม้ว่าเขาจะเล่นมาหมดแล้วในทุกจุดของเกมรุก แมนฯ ซิตี้ (2015-2022) แต่ถ้าถามถึงความถนัดแล้ว "ตัวริมเส้น" ที่มีพื้นที่ให้ได้ลากเลื้อย มีช่องให้ได้ใช้ความเร็ว มีจังหวะให้ได้เติมเข้าทำจากวงนอก ก็คือสิ่งที่ดาวเตะวัย 28 เป็น
ที่จริง จากคำพูดของ แลมพาร์ด "ผมคิดว่าเขาคือนักเตะมหัศจรรย์ เป็นหนึ่งในตัวริมเส้นที่ดีที่สุดในโลกมาระยะหนึ่งแล้ว บางคนอาจมีเสียงตำหนิถึงเขา แต่สำหรับผม เขาคือสุดยอด" ก็ฟ้องในตัวเองอยู่แล้วว่า สเตอร์ลิ่ง เป็นปีก ไม่ใช่ศูนย์หน้า
ก็คงต้องย้อนกลับไปถามว่า ที่ซื้อ สเตอร์ลิ่ง มาน่ะ (47.5 ล้านปอนด์) เอามาเพื่อเล่นตรงไหนแน่?
ขาวกับน้ำเงิน...ต่างกันเยอะ
เชลซี ไม่อาจอ้างได้เลยว่าเกมนี้ พวกเขาไม่สมควรแพ้ เมื่อตลอด 90 นาทีที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เราได้เห็นชัดถึงข้อแตกต่างหลายๆ ด้านมากระหว่างมุมขาวกับมุมน้ำเงิน ไม่ว่าจะเรื่องของคุณภาพการเล่น, ความมั่นใจของนักเตะ จนถึงความเจนจัดกับการทำศึกระดับสูง
ถัดจากการขว้างโอกาสทองทิ้งไปของ เจา เฟลิกซ์ แล้ว ภาพที่เห็นในครึ่งแรกก็คือการที่ วินิซิอุส จูเนียร์ กับ คาริม เบนเซม่า โถมพลังรุกเข้าใส่หลังบ้าน เชลซี อย่างสนุกสนาน โดยมี โรดรีโก้ โกเอส เป็นส่วนเสริมในอีกฝั่ง
ครึ่งแรก เรอัล มาดริด ก็เหนือกว่าเบ็ดเสร็จแล้ว ที่ประตูนำ 1:0, เปอร์เซ็นต์ครองบอล 54:46%, โอกาสจบ 10:4, ยิงเข้ากรอบ 7:2 จนถึงช็อตเซฟของนายทวาร กูร์กตัวส์ 2 ส่วน เคปา 6
ส่วนครึ่งหลัง ความแอบหวังถึงสกอร์ที่ดีก็หลุดลอยไปพร้อมใบแดงของ เบน ชิลเวลล์ (น.59) ที่ตามมาด้วยเม็ดปิดกล่อง 2-0 จากอีซ้ายเฉียบๆ ของ มาร์โก อเซนซิโอ (น.74)
สำหรับสถิติเมื่อจบเกม ก็ยิ่งชัดถึงความต่างและความห่าง -- เปอร์เซ็นต์ครองบอล 53:47%, โอกาสจบ 18:8, ยิงเข้ากรอบ 9:3 โดยที่ เคปา ช่วยเซฟไว้ 7 หน
เกมที่น่าปวดหัว
เมื่อเริ่มเกม แม้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะตัดสินใจวางระบบ 3-5-2 ให้ลูกทีม แต่การยืนจริงๆ ของนักเตะ เชลซี ในสนาม ก็ค่อนไปทางเป็น 5-3-2 มากกว่า ด้วยการที่วิงแบ็กสองข้างต้องถอยร่นมาช่วยเกมรับอยู่ตลอด
ความผิดแผน (โดยเฉพาะเมื่อ เจา เฟลิกซ์ เปิดสกอร์นำไม่ได้) คือทั้งที่ถอยร่นแผงหลัง 5 คน บวกกำแพง 3 มิดฟิลด์ขวางหน้าไว้อีกชั้นแล้ว เรอัล มาดริด ก็ยังใช้เวลาไม่นานนักในการเจาะลูก 1-0 จาก คาริม เบนเซม่า เจ้าเก่า
ยังนับว่าน่าเห็นใจ แลมพาร์ด อยู่เหมือนกัน ว่าในระหว่างที่เกมกำลังเดินหน้าไปดีๆ ด้วยจังหวะจะโคนก็ทำให้ เบน ชิลเวลล์ ต้องโดนใบแดงโดยตรงไล่ออกจากการฉุดรั้ง โรดรีโก้ โกเอส เอาไว้จังหวะควบหลุดเดี่ยว
เมื่อเหลือ 10 คน แลมพาร์ด ก็ต้องพยายามเพลย์เซฟด้วยหมาก 5-3-1 เพื่อไม่ให้เสียประตูเพิ่ม...ปรากฏช่วยอะไรไม่ได้ โดนบวกเม็ดสอง น.74 ที่ทำให้ต้องปรับอีกรอบเป็นแผงแบ็กโฟร์ 4-4-1 ซึ่งก็ไม่ดีพอจะทำให้ เชลซี ตีตื้นขึ้นได้แต่อย่างใด
และเป็นการบ้านกองโตของ แลมพาร์ด เลยว่า...
1) ตกลงแล้ว ระบบการเล่นไหนเหมาะกับนักเตะ เชลซี ชุดนี้ที่สุด
และ 2) จะต้องวางหมากอย่างไรในเกมแก้มือกับ เรอัล มาดริด อังคารหน้า เมื่อทั้งที่มาเน้นรับเต็มระบบ 5-3-2 แล้วก็ยังต้านไม่อยู่
ระวังจะมีคนที่ 5
จาก 1. โธมัส ทูเคิ่ล ในตอนต้น มาเป็น 2. เกรแฮม พ็อตเตอร์
จาก 2. เกรแฮม พ็อตเตอร์ มาสู่ 3. บรูโน่ ซัลตอร์
จาก 3. บรูโน่ ซัลตอร์ ส่งไม้ต่อให้ 4. แฟร้งค์ แลมพาร์ด
และจาก 4. แฟร้งค์ แลมพาร์ด ณ ตอนนี้ ที่เริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้ 2 เกมซ้อนแบบยิงใครไม่ได้ และกำลังจะตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ กลางสัปดาห์หน้า (ควบคู่ไปกับการจมอันดับ 11 หมดลุ้นทุกตั๋วยุโรป)
ใครจะกล้ายืนยันบ้างว่า จะไม่มีกุนซือใหม่ "คนที่ 5" มาต่อท้ายคุม เชลซี ก่อนจบซีซั่น อีกสักคน!