อาร์เซนอล 0-2 ลิเวอร์พูล : ประเด็นหลังเกม เอฟเอ คัพ ปืนบ้อท่ายิงถูกก็บ่ตาย ร่วง เอฟเอ คัพ ตามระเบียบ
• ลิเวอร์พูล เคยเป็นแชมป์รายการนี้มาแล้ว 8 ครั้ง
รายการแข่งขัน : พรีเมียร์ ลีก 2023-2024
วันแข่งขัน : อาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2024
สนามแข่งขัน : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
ผลการแข่งขัน : อาร์เซนอล 0 - 2 ลิเวอร์พูล
อาร์เซนอล ยังคงมีปัญหากับฟอร์มที่สะดุดไม่เลิก และในเกมล่าสุดพวกเขาพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง พร้อมกับกระเด็นตกรอบ เอฟเอ คัพ รอบที่สาม กับความพ่ายแพ้ต่อลิเวอร์พูล 2-0 ในเกมที่พวกเขามีโอกาสมากมาย แต่ไม่สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นประตู
การเข้าถึงบอลแบบถึงเนื้อถึงตัวของ “ปืนใหญ่”
หลังจากที่ อาร์เซนอล พ่ายแพ้มาสองเกมติดต่อกันในพรีเมียร์ ลีก อาร์เซนอลเกมนี้ลงเล่นด้วยความรู้สึกอยาก “แก้ตัว” จากความรู้สึกผิดหวัง พวกเขาลงเล่นด้วยความมุ่งมั่น และสามารถที่จะครองโมเมนตัมของเกมเอาไว้ได้ กับการเล่นเพรสซิ่งเร็ว กดดันอย่างต่อเนื่อง และทำให้ลิเวอร์พูลไม่สามารถตั้งเกมได้ เป็นหนึ่งในวิธีการเล่นหลักในวันนี้ที่ได้ผลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในครึ่งแรกที่ทำให้ลิเวอร์พูลไม่มีโอกาสยิงเข้ากรอบแม้แต่ครั้งเดียว นี่เป็นหนึ่งเกมที่พวกเขากดคู่แข่งเอาไว้ได้อย่างชะงัดในช่วง 45 นาทีแรก และอาจรวมถึงในช่วงต้นครึ่งหลังที่ยังคงครอบครองบอลได้มากกว่า
“ความเฉียบคม” อันแสน “ทื่อ” ของอาร์เซนอล
อาร์เซนอล ถูกตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอดระยะหลังกับการเข้าทำที่ด้อยประสิทธิภาพลงไปอย่างชัดเจน พวกเขามีเกมที่สามารถสร้างโอกาสได้ถึง 30 ครั้งในความพ่ายแพ้ ต่อเวสต์แฮม ตามด้วยการเล่นที่ไร้แรงจูงใจในช่วง 45 นาทีหลังของเกมที่พ่ายแพ้ ฟูแล่ม มาถึงเกมนี้ พวกเขาสามารถสร้างเกมรุกได้ดี กับการเข้าทำรวมแล้วเกือบ 20 ครั้ง แต่มันกลับไม่เกิดแม้แต่ประตูเดียว โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกที่ควรมีประตูหลายต่อหลายครั้ง สวนทางกับ ลิเวอร์พูล ที่เล่นอย่างอดทน เริ่มกลับมาครอบครองเกมไว้ได้ ก่อนที่จะมีทีเด็ด และโชคช่วยจากจังหวะประตูขึ้นนำ 1-0 จากการเล่นที่ผิดพลาดของแนวรับอาร์เซนอล ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ และส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่น้อยอยู่แล้วของอาร์เซนอล ให้กลายเป็นแทบไม่มีเหลือ และย้ำมันอย่างเจ็บปวดด้วยประตูที่สองฝังกลบพวกเขาในเกมนี้
“ความมั่นใจ” ที่หายไป “กองหน้าตัวจบสกอร์” ที่ขาดหาย
อาร์เซนอล สร้างโอกาสได้มากถึง 61 ครั้งในสามเกมหลังสุด และได้มาเพียง 1 ประตู และหากมองกันที่ชัยชนะ พวกเขาคว้ามาได้แค่ 1 จาก 6 เกม สิ่งที่บ่งบอกได้จากเรื่องนี้คือ การเข้าทำของพวกเขาไม่ได้มีปัญหาในการสร้างสรรค์โอกาส แต่พวกเขามีปัญหาในการจบสกอร์ในพื้นที่สุดท้าย ที่เป็นส่วนสำคัญที่สุดในเกมฟุตบอล
อาร์เซนอล เป็นหนึ่งทีมที่ไม่มีนักเตะประเภท “ตัวแบก” ในเรื่องของการยิงประตู มาตั้งแต่หมดยุคของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง พวกเขากลายเป็นทีมที่ลงเล่นด้วยการสร้างความเป็นทีม และนักเตะหลายคนในแนวรุกช่วยกันทำประตู ชื่อของ บูคาโย่ ซาก้า, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ มาร์ติน เออเดการ์ด คือตัวตัวหลักในการช่วยกันยิงประตูในฤดูกาลที่แล้ว พวกเขารวมกันแล้วทำไป 45 ประตู แต่นั่นกลายเป็นปัญหาสำหรับฤดูกาลนี้เมื่อฟอร์มการเล่น ความมั่นใจ และจำนวนประตูไม่ได้เป็นไปตามที่หวังจากทั้งสามคน พวกเขากลับมาเป็นผู้เล่นที่สามารถสร้างสรรค์โอกาสได้มากกว่าเรื่องของการยิงประตู บนข้อเท็จจริงที่ว่า อาร์เซนอล เป็นเพียงทีมเดียวในพรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้ ที่ 10 อันดับดาวยิงสูงสุดของลีก ไม่มีชื่อของนักเตะของพวกเขาเลยทั้งที่พวกเขายิงได้มากที่สุดติด 5 อันดับแรกของลีก ในขณะที่ กองหน้าทั้งสองคนในทีมทั้ง กาเบรียล เชซุส และ เอ็ดดี้ เอนเคเธีย ต่างมีจำนวนประตูที่น้อยเกินไป ขาดทั้งความสม่ำเสมอทั้งเรื่องของฟอร์มการเล่น และปัญหาอาการบาดเจ็บ ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าปัญหาของอาร์เซนอลคืออะไรในเวลานี้ และพวกเขาต้องเร่งแก้ไขอย่างยิ่ง
เทียบกับลิเวอร์พูล คู่แข่งในวันนี้ที่ทั้ง ดาร์วิน นูนเญซ, หลุยส์ ดิอาซ หรือ โคดี้ กัคโป อาจจะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่สวยหรูอะไรในฤดูกาลนี้เรื่องของการผลิตสกอร์ แต่การที่พวกเขามี “โม ซาลาห์” ที่เป็นตัวความหวังหลักในการมองหาประตู บวกกับแผนการเล่นที่ลงตัวภายใต้การคุมทีมของเยอร์เก้น คล็อปป์ ลิเวอร์พูลในปีนี้ จึงยังคงรักษามาตรฐานการเล่นไว้ได้ แม้จะมีบางช่วงที่สะดุดไป ก็สามารถกลับมาได้เร็ว รวมถึงเกมนี้ที่พวกเขาไม่มี โม ซาลาห์ ลงเล่น และสร้างสรรค์โอกาสได้น้อยกว่า แต่สุดท้ายแนวรุกของพวกเขาก็มีชื่อผู้ทำประตูได้อย่างน้อยหนึ่งประตูในเกมนี้
แนวรับที่แข็งแกร่งของ “ลิเวอร์พูล”
ว่ากันจากสิ่งที่เห็น ลิเวอร์พูล อาจจะไม่ได้มีเกมที่ดีมากในวันนี้ แต่พวกเขากลับออกไปพร้อมชัยชนะด้วยการยิงประตูที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ “ค้ำจุน” พวกเขาคือการเล่นเกมรับที่ดีขึ้นในครึ่งหลัง อิบราฮิม โกนาเต้ โดดเด่นอย่างยิ่งในพื้นที่แนวหลังของทีม เมื่อรวมกับแนวรุกที่ฟอร์มไม่เข้ารูปเข้ารอยของอาร์เซนอลที่ปิดจ๊อบไม่ได้ ขณะที่ตัวเองมาพร้อมโชคที่มาพร้อมการเล่นอย่างอดทน และสร้างสรรค์โอกาสได้มากขึ้นในครึ่งหลัง เกมนี้ “หงส์แดง” จึงมีคุณสมบัติครบในการเป็นผู้ชนะในเกมนี้ มากกว่า อาร์เซนอลที่วันนี้ วิลเลี่ยม ซาลิบา และ กาเบรียล มากัญเยส แทบไม่มีอะไรให้ผิดพลาดตลอด 80 นาทีก่อนการเสียประตูที่เกิดจากการเข้าประตูตัวเองของ ยาคุบ คิวิออร์ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญยิ่งในเกมนี้
อาร์เซนอล ไม่ต้องโทษใครเลยในความพ่ายแพ้เกมนี้ เพราะพวกคุณพลาดกันเองในพื้นที่สุดท้ายในการเข้าทำ ขณะที่เกมรับเสียประตูแรกจากความผิดพลาดที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น