เชลซี 0-2 แอสตัน วิลล่า : เก็บตก 5 ประเด็นร้อนหลังเกม พรีเมียร์ลีก สิงห์ ไร้คม โดน วิลล่า บุกขยี้คาบ้าน
รายการ | พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2022/23 |
---|---|
วันแข่งขัน | วันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2023 |
สนาม | สแตมฟอร์ด บริดจ์ |
ผลการแข่งขัน | เชลซี 0-2 แอสตัน วิลล่า |
กองหน้าทำพัง
หนึ่งคือ นี่คือวันที่เกมรุก เชลซี แย่มาก...แย่มากๆ - มิไคโล มูดริค เล่นเหมือนมีค่าตัว 62 ปอนด์ ไม่ใช่ 62 ล้านปอนด์, ไค ฮาแวร์ตซ์ ทื่อมะลื่อ และ เจา เฟลิกซ์ ก็ไร้คม (จนกลายเป็น เบน ชิลเวลล์ อันตรายสุด)
และสองคือ ก็ดันเป็นวันที่ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ โชว์ฟอร์มสมราคา "ประตูแชมป์โลก" เข้าให้ด้วย
สถิติที่ออกมาเมื่อจบเกม จึงน่าตกตะลึงไม่น้อย ว่า เชลซี สร้างโอกาสจบรวมได้ถึง 27 ครั้ง ตรงกรอบ 8 แต่ไม่ได้กลับคืนมาสักประตู (ส่วน วิลล่า ตรงกรอบ 2 ได้ 2 ประตู)
ก็อาจใช่ที่ต้องชมเชยความเหนียวหนึบของ เอมี่ มาร์ติเนซ แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เน้นมากกว่าก็คือประสิทธิภาพเกมรุกของ เชลซี นั่นเองว่าน่าผิดหวังมากในวันนี้ เมื่อเอาเข้าจริง ในบรรดาการเซฟ 7-8 ครั้งของ มาร์ติเนซ ก็มีแค่หนสองหนเท่านั้นเองที่สามารถจัดเข้าข่าย "ต้องเข้า" ได้
ยิ่งโดยเฉพาะ 2 โอกาสของ มิไคโล มูดริค ถ้าเปลี่ยนเป็นกองหน้าคมๆ หรือตัวเซนส์บอลสูงๆ หน่อย (บางวาบก็ให้คิดถึง เอแด็น อาซาร์ ช่วงพีค) ก็น่าจะพา เชลซี มีเฮไปแล้ว ทั้ง น.6 ที่ไม่เลือกจ่ายแต่ยิงเองไปติดเซฟ แล้วก็ น.31 ที่หลุดเดี่ยวโล่งโจ้งไปแปเข้าอกนายทวารง่ายดาย
ถ้าเจาะ 1-0 ได้ก่อน หรือตีคืน 1-1 ได้เร็ว ก็น่าเชื่อว่าเกมจะไม่ออกรูป "แพ้คาบ้าน" แบบนี้
สิงห์ผงาด คู่ควรกับชัยชนะ
เพราะแม้ว่า เชลซี จะครองบอลเหนือกว่ามาก เกือบๆ 70-30 หรือจะสร้างโอกาสจบรวม 27 ครั้ง แต่เมื่อแปรเปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้ ก็ไร้ความหมาย
แอสตัน วิลล่า ของ อูไน เอเมรี่ ไม่ได้ทำอะไรที่สลับซับซ้อนมากเกินไปเลยสำหรับเกมนี้
แค่ตั้งกำแพงรับให้แน่นๆ พึ่งพาความเหนียวหนึบของ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ มากหน่อย แล้วก็สวนกลับให้รวดเร็ว เฉียบคมเข้าไว้ ใช้โอกาสไม่เปลือง แค่นี้ เชลซี ก็ไปไม่เป็นแล้ว
ประตู 1-0 ที่ โอลลี่ วัตกิ้นส์ ทะลุเข้ากระดกผ่าน เคปา อาร์ริซาบาลาก้า เข้าข่ายข้างต้นเต็มๆ ก่อนจะเพิ่มเติมความสมบูรณ์ด้วยลูกตะบันของ จอห์น แม็คกินน์ ที่มีจุดเริ่มต้นจากเตะมุม
เช็คบิลโอกาสของตัวเองให้ได้ แล้วก็รอดูเกมรุกทื่อๆ ของ เชลซี ที่ขยันขว้างโอกาสทิ้งกันไปเอง แค่นี้ก็จบ
และนับตั้งแต่ อูไน เอเมรี่ เข้าคุม (6 พ.ย.) วิลล่า ก็เอาชนะได้ถึง 9 เกมแล้ว มากกว่านี้มีแค่ อาร์เซน่อล (13) กับ แมนฯ ซิตี้ (10) เท่านั้น
เชลซี ไม่ดีทั้งในและนอกบ้าน
เพราะตารางไม่เคยโกหกใครอยู่แล้ว การที่ เชลซี จมอยู่ที่อันดับ 11 และห่างจากท็อปโฟร์ท็อปซิกซ์มากขึ้นทุกวัน ก็มีเหตุมีผลเหมาะสมในตัวมันเอง
นั่นเพราะ เชลซี ซีซั่นนี้ ไม่ดีทั้งในและนอกบ้านเลยนั่นเอง
ในขณะที่ ลิเวอร์พูล หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด มีแผลเป็นแก้ไม่หายที่เกมนอกบ้าน ทั้งสองทีมสีแดงก็ยังมีผลงานเกมเหย้าดีๆ ไว้พึ่งพิง ผิดกับ เชลซี ที่ไม่ว่าจะเหย้าหรือเยือน ก็ล้วนแต่น่าส่ายหัวทั้งสิ้น
จาก 14 เกมเหย้า เชลซี ชนะ 6 เสมอ 4 แพ้ 4 เก็บได้ 22 แต้ม เป็น "อันดับ 10" ในแง่นี้
ส่วนจาก 14 เกมเยือน เชลซี ชนะ 4 เสมอ 4 แพ้ 6 เก็บได้ 16 แต้ม ก็เป็น "อันดับ 10" ในแง่นี้เหมือนกัน
แพ้คาบ้านแล้ว 4 แพ้นอกบ้านอีก 6
ปีที่แพ้เยอะแบบนี้ ต้องย้อนไป 2019/20 ที่แพ้รวม 12 นัด...โชคยังดี จบอันดับ 4 ตีตั๋วไป ชปล. ได้อยู่
แต่คราวนี้ ไม่น่าโชคดีแบบนั้นแล้ว
หวังว่านี่จะเป็นแค่ "อุบัติเหตุ"
อันที่จริง ทรงฟุตบอลของ เชลซี ในยุค เกรแฮม พ็อตเตอร์ ก็ค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับแล้วในช่วงหลัง จากที่ชนะ 3 เกมซ้อน แล้วเกือบจะเป็นชัยชนะ 4 เกมติด แต่โดน เอลลิส ซิมม์ส ยิงตีเสมอให้ เอฟเวอร์ตัน 2-2 ก่อนพักเบรคทีมชาติ
ก็หวังว่าการแพ้ต่อ แอสตัน วิลล่า ครั้งนี้ จะเป็นแค่ "อุบัติเหตุ" เป็นการสะดุดล้มชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว โทษความอ่อนล้าที่นักเตะหลายรายต้องเจอจากการออกไปเล่นทีมชาติ หรือโทษโชคดวงที่ไม่เข้าข้างจนโอกาสจบ 27 ครั้งไม่เปลี่ยนเป็นสกอร์เลยสักลูก
หวังว่าจะล้มแล้วจะปัดฝุ่นลุกขึ้นได้ในทันที
เพราะอังคารที่จะถึงนี้ มีเกมสุดสำคัญกับ ลิเวอร์พูล รออยู่ (สแตมฟอร์ด บริดจ์)
เกมที่จะชี้ชัดว่า ฝั่งไหนจะยังพอมีโอกาสลุ้นตั๋วยุโรปอยู่บ้าง
ถ้า เชลซี ล้มแล้วไม่ยอมลุก หลุดแพ้คารังติดกัน 2 นัด ก็คงมองถึงซีซั่นหน้า--ที่ไม่มีบอลยุโรปให้เตะ ได้เลย
(หรือไม่ก็ต้องเอาแชมป์ ชปล. ให้ได้...ผ่าน เรอัล มาดริด ให้ได้ก่อนในรอบ 8 ทีม)
ปีนี้ไม่เป็นไร...แต่ปีหน้า เป็นแน่
นี่คือความพ่ายแพ้ครั้งที่ 10 ของทีมที่ลงทุนไปกว่า 500 ล้านปอนด์ในทั้ง 2 หน้าตลาดหลังสุด
อย่างที่บอก ที่จริง เชลซี ก็เริ่มจะทรงดีขึ้นบ้างแล้ว เก็บผลที่ต้องการได้บ้างแล้วก่อนพักเบรคทีมชาติ ดังนั้น การจะเปิดโอกาสให้ เกรแฮม พ็อตเตอร์ ได้ทำงานปลุกปั้นขุมกำลังใหม่ชุดนี้ไปอย่างสงบ ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
แต่เมื่อฟุตบอลยุคนี้ไม่ได้มีที่ว่างให้ความ "ใจเย็น" มากนัก พ็อตเตอร์ ก็ไม่ได้มีเวลาให้พิสูจน์ฝีมือยืดยาวนักเหมือนกัน
ซีซั่นนี้ ท็อดด์ โบห์ลี่ อาจยังให้อภัยได้ ไม่ว่าจะจบอันดับเท่าไหร่ จะได้ไปหรือไม่ได้ไป ชปล. ก็ตาม
แต่ซีซั่นหน้า บางทีอาจไม่ใช่ หากว่า พ็อตเตอร์ ยังสร้างผลงานที่ดี พลิกให้ เชลซี กลับไปยืนหัวแถว พรีเมียร์ลีก ไม่ได้
ก็รอฉลองได้เลย...ฉลองรับค่าชดเชยฉีกสัญญา!