เชลซี 0-2 เรอัล มาดริด : เก็บตก 5 ประเด็นหลังเกม สิงห์น้ำเงิน พ่ายสกอร์เดิม ตกรอบ 8 ทีมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

Chelsea FC v Real Madrid: Quarterfinal Second Leg - UEFA Champions League
Chelsea FC v Real Madrid: Quarterfinal Second Leg - UEFA Champions League / Gaspafotos/MB Media/GettyImages
facebooktwitterreddit

รายการ:

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2022/23

วันแข่งขัน:

วันอังคารที่ 18 เมษายน 2023

สนาม:

สแตมฟอร์ด บริดจ์

ผลการแข่งขัน:

เชลซี [0] 0-2 [4] เรอัล มาดริด


4 นัดผ่านไป...แพ้รวด

ควรเป็นปลื้มแทนใครดี เมื่อการจัดจ้าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด เข้ามานั่งเก้าอี้คุม เชลซี แบบขัดตาทัพระยะสั้นจนถึงจบฤดูกาลนี้ ได้ผลออกมาแบบว่า... เฮ้ยพี่ ที่จริง ไม่ต้องมาก็ได้!

เพราะ 4 นัดผ่านไปแล้วกับ เชลซี ยุค แลมพาร์ด 2.0 ปรากฏมีเสียงเฮจากแฟนๆ ตราสิงห์แค่ 1 ครั้งถ้วน คือประตูที่ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ซัดขึ้นนำ ไบรท์ตัน เมื่อวันเสาร์...แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้

  • แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 0-1

    แพ้ เรอัล มาดริด 0-2

    แพ้ ไบรท์ตัน 1-2

    และแพ้ เรอัล มาดริด 0-2

สำหรับ 90 นาทีล่าสุดนี้ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต้องถือว่า เชลซี ไม่อาจรับมือได้กับความเฉียบขาดเฉียบคมของทางฝั่ง เรอัล มาดริด ที่ไม่ต้องใช้โอกาสจบอะไรมากมาย โรดรีโก้ โกเอส เหมาซัดในครึ่งหลัง จากจังหวะยิงตรงกรอบทั้งหมดแค่ 6 ครั้ง จนในที่สุด เชลซี ก็ตกรอบแบบสบายหายห่วงด้วยสกอร์รวม 0-4

นี่คือการที่ เชลซี ไม่สามารถยิงประตูคู่แข่งได้ในทั้ง 2 เลกของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หนแรกถัดจากรอบตัดเชือกปี 2005 ที่แพ้ ลิเวอร์พูล สกอร์รวม 0-1

สำคัญสุดคือ ความแอบหวังที่จะไปต่อใน ชปล. และคว้าตั๋วกลับเข้าเล่นอีกครั้ง แหลกสลายไม่มีชิ้นดี

ถึงตรงนี้...ก็ต้องแสดงความเสียใจกับแฟนๆ สิงห์น้ำเงินด้วย

ว่า UCL ซีซั่นหน้า ไม่มี เชลซี ร่วมขบวนแน่นอนแล้ว (รวมถึงอีก 2 ถ้วยรองก็ไม่น่ามีด้วย)

Chelsea FC v Real Madrid: Quarterfinal Second Leg - UEFA Champions League
Chelsea FC v Real Madrid: Quarterfinal Second Leg - UEFA Champions League / James Gill - Danehouse/GettyImages

แฟร้งค์ 'ทิงเกอร์แมน' แลมพาร์ด

ฉายา "ทิงเกอร์แมน" คนคิดมากใจโลเล เดี๋ยวปรับตรงนั้นซ่อมตรงนี้ เคยเป็นของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ มาก่อนในยุคคุม เชลซี แต่มา ณ ตอนนี้ เห็นทีว่าควรส่งมอบสมญานามนั้นให้กับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด แต่โดยดี

เพราะ 4 แมตช์ที่ผ่านไป (ด้วยความพ่ายแพ้) แลมพาร์ด เลือกใช้ระบบการเล่นที่แตกต่างไม่มีซ้ำกันเลยในแต่ละนัด

เกมประเดิมแพ้ วูล์ฟส์ ใช้ระบบ 4-3-3

ถัดมาเลกแรกกับ เรอัล มาดริด เปลี่ยนไปใช้ 3-5-2 และ 5-3-2

เมื่อวันเสาร์ แพ้ ไบรท์ตัน เลือกใช้ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 ตามจังหวะการเล่น

และมาเกมนี้ แลมพาร์ด ที่ไม่มี เบน ชิลเวลล์ (แบน) กับ คาลิดู คูลิบาลี่ (เจ็บ) ผ่าทางตันไปใช้ระบบสุดประหลาด 3-5-1-1 ซึ่งเป็นผังที่ ยูฟ่า วางให้เมื่อเห็นไลน์อัพ -- และนำมาซึ่งเสียงวิจารณ์ลั่นโซเชียล บ้างก็บอกว่า นี่คือระบบและ 11 คนแรกที่แย่ที่สุดที่เคยได้เห็นจาก เชลซี ทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เมื่อลงสนามไปจริงๆ แล้ว การยืนออกจะกลายเป็นหมาก 3-4-2-1 เสียมากกว่า โดยวาง มาร์ก กูกูเรย่า กับ รีซ เจมส์ เป็นวิงแบ็กสองฝั่ง ขนาบข้างคู่มิดฟิลด์ มาเตโอ โควาซิช กับ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ ส่วนเกมรุกดัน คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ไปเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกซ้าย-ขวา สนับสนุนหน้าเป้า ไค ฮาแวร์ตซ์

ซึ่งภายใต้ระบบนี้ เมื่อต้องเล่นเกมรับ วิงแบ็กสองข้างก็จะถอยร่นลงสุด เช่นเดียวกับมิดฟิลด์ตัวรุกที่จะถอยต่ำเช่นกัน จนกลายเป็นหมาก 5-4-1 นั่นเอง

และแม้จะเข้าข่าย "ระบบไม่ซ้ำ จำสูตรไม่ได้" แต่ก็ว่าไม่ได้นะ เมื่อ เชลซี เล่นดีเลยล่ะในครึ่งแรก

Frank Lampard, Thiago Silva
Chelsea FC v Real Madrid: Quarterfinal Second Leg - UEFA Champions League / Chris Brunskill/Fantasista/GettyImages

ระบบใหม่ดู 'มีอนาคต'

หากว่า เชลซี จะมีวิญญาณเพฌชฆาต หรือโชคดวงเข้าข้างมากกว่านี้หน่อย เผลอๆ 2-0 ที่ต้องการ จะมาได้ตั้งแต่ในครึ่งแรกนั่นแล้ว

เพราะตลอด 45 นาทีแรกของเกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เชลซี เป็นฝ่ายกด เรอัล มาดริด แบบอยู่มือ พร้อมกับสร้างโอกาสใกล้เคียงได้ไม่น้อย โดยเฉพาะจังหวะของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ช่วงต้นเกมนาทีที่ 11 ที่ปิดสกอร์ไม่ลงเอง

แม้ว่าครึ่งหลังจะลงไปโดนสอย 2 เม็ด แต่ก็เช่นกันที่โอกาสทองของ เชลซี มีอยู่ในการปิดสกอร์ ทั้งลูกจ่อๆ ของ มาร์ก กูกูเรย่า ที่กิน ติโบต์ กูร์กตัวส์ ไม่ลง, โอกาสทองอีกรอบของ ก็องเต้ ที่ตวัดไม่ผ่าตัวบล็อกหน้าเส้นประตู หรือช็อตทะลุเข้าไปส่องเฉี่ยวเสาของ มิไคโล มูดริค ที่แม้จะมีธงล้ำหน้าก็ตาม

รวมๆ แล้ว มองเห็นได้ว่า 3-4-2-1 ที่ แลมพาร์ด วางในเกมนี้ "พอใช้ได้" โดยเฉพาะเกมรุกที่มีสีสัน ข้างหน้ามีตัวช่วยสอดจากแถวสอง และตรงกลางก็ดูแน่นหนาดี จะมีตำหนิอยู่บ้างก็เกมรับที่ต้องขันน็อตกันอีกหน่อย

รอดูหน่อยแล้วกันว่านัดถัดไป (กลางสัปดาห์หน้า เตะ เบรนท์ฟอร์ด) แลมพาร์ด จะ มาไม้ไหนอีก

เพราะที่จริงก็ดูเหมือนว่า 3-4-2-1 จะดูดีมีอนาคตใช้ได้...ถ้าไม่นับที่ต้านพลังรุกของ มาดริด ไม่อยู่น่ะนะ

FBL-EUR-C1-CHELSEA-REAL MADRID
FBL-EUR-C1-CHELSEA-REAL MADRID / ADRIAN DENNIS/GettyImages

แพ้เป็นพระ...ยิงประตูน่ะ เป็นมั้ย?

แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อฟุตบอลเป็นเรื่องของการทำประตูเพื่อเอาชนะคู่แข่ง เชลซี ที่ยิงประตูชาวบ้านเขาไม่เป็น เมื่อไหร่จะชนะได้ล่ะพ่อคุณ

  • แพ้ วูล์ฟส์ โอกาสยิง 13 ตรงกรอบ 1 ประตู 0

    แพ้ เรอัล มาดริด (เลกแรก) โอกาสยิง 7 ตรงกรอบ 3 ประตู 0

    แพ้ ไบรท์ตัน โอกาสยิง 8 ตรงกรอบ 2 ประตู 1

    และแพ้ เรอัล มาดริด (ซ้ำสอง) โอกาสยิง 19 ตรงกรอบ 6 ประตู 0

ก็ต้องพูดซ้ำอีกเหมือนเดิมนั่นแหละว่า ไค ฮาแวร์ตซ์ คือคนที่ฝากความหวังไม่ได้, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ไม่ถนัดการยืนตัวเป้า (หรือกระทั่งหน้าคู่) และ เจา เฟลิกซ์ ก็มีอัตราความเฉียบคมในระดับต่ำ

จนกว่าจะถึงเวลาได้ซื้อกองหน้าคนใหม่ จะเสียหายอะไรถ้าจะเปิดที่ทางให้ ดาวิด ดาโตร โฟฟาน่า หรือ โนนี่ มาดูเอเก้ ได้ลองของบ้าง...หรือแม้แต่ ปิแอร์-เอเมริก โอบาเมย็อง ลองให้ยืนเต็มๆ เกมสักนัดดูบ้างไหมล่ะ

Kai Havertz, Luka Modric
Chelsea FC v Real Madrid: Quarterfinal Second Leg - UEFA Champions League / Quality Sport Images/GettyImages

เรอัล มาดริด กับแชมป์สมัย 15...???

เชลซี ไม่ได้ไปต่อ และรอกันอีกคืน เรอัล มาดริด ก็จะได้รู้ว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาในรอบตัดเชือกจะเป็นใคร...แม้วี่แวว 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ หวยจะออก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ตาม

หากว่า แมนฯ ซิตี้ มาตามนัด รอบตัดเชือกของ ชปล. ปีนี้จะแซ่บแสบทรวงมาก เมื่อจะเป็นคู่แข่งขันของ เรอัล มาดริด v แมนฯ ซิตี้ และ เอซี มิลาน v อินเตอร์ มิลาน (ถ้างูใหญ่ไม่พลาดท่าแพ้ เบนฟิก้า ด้วย)

เช่นกัน มันจะเป็นรอบตัดเชือกที่สำคัญมากๆ ของทั้ง มาดริด และ แมนฯ ซิตี้ ว่าถ้าใครสามารถผ่านไปได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะพุ่งชนแชมป์ได้ในท้ายที่สุด -- ด้วยความเคารพต่อตัวแทนอิตาลีทั้ง 2 ว่ามันชัดเจนมากพอจะต้องบอกว่าทั้งชุดขาวและเรือใบ ล้วนแต่แข็งแกร่งหนั่นแน่นกว่า 2 ทีมมิลาน

ระหว่างแชมป์แรกที่รอคอยของ แมนฯ ซิตี้

กับแชมป์แล้วแชมป์อีก--แชมป์สมัยที่ 15 ของ เรอัล มาดริด

1 กับ 15 อะไรมา...เดี๋ยวรู้!

Chelsea v Real Madrid - UEFA Champions League
Chelsea v Real Madrid - UEFA Champions League / Anadolu Agency/GettyImages