เชลซี ชนะจุดโทษ นิวคาสเซิ่ล 4-2 : ประเด็นจากเกม สิงห์น้ำเงิน เบียดชนะ สาลิกา เข้าตัดเชือก คาราบาว คัพ - FEATURE
• ถือเป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ นิวคาสเซิ่ล กรอบจนแทบจะเดินเล่นกันแล้วช่วงท้ายเกม
• เชลซี เข้าถึงตัดเชือก และแน่นอนว่ามีลุ้นแชมป์ คาราบาว คัพ
รายการ: ฟุตบอล คาราบาว คัพ อังกฤษ 2023/24 รอบ 8 ทีมสุดท้าย
วันแข่งขัน: วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2566
สนาม: สแตมฟอร์ด บริดจ์
ผลการแข่งขัน: เชลซี 1-1 นิวคาสเซิ่ล (เชลชี ชนะจุดโทษ 4-2)
เชลซี เปลี่ยนตำแหน่งเดียว
ชัดเจนมาจากบ้านว่า เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เอาจริงเอาจังกับถ้วยนี้ ด้วยเหตุผลหลักๆ ว่า 1) ก็มาถึงรอบ 8 ทีมแล้ว ขอชนะต่ออีก 2-3 นัด เป็นอันจบ กับ 2) คงเป็นรายการเดียวที่สามารถคาดหวังได้ในซีซั่นนี้ เมื่อ เอฟเอ คัพ เป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง (รอบ 3 เจอ เปรสตัน) ส่วน พรีเมียร์ลีก ไม่ต้องพูด!
"นี่คือโอกาสดีของเราในการเป็นแชมป์ รู้สึกว่าทีมของเราจะไม่ได้แชมป์ถ้วยนี้มาเป็นสิบปีแล้ว ดังนั้นนี่คือเป้าหมายของเรา" พอชว่าก่อนเกม
ข้อเท็จจริงที่ โปเช็ตติโน่ จำผิดเล็กน้อยคือ เชลซี ได้แชมป์ล่าสุดเมื่อปี 2015 (แคปปิตอล วัน คัพ) เพียงแต่นั่นก็เป็นแชมป์ถ้วยนี้เพียงครั้งเดียวของพวกเขาในรอบ 15 ปีหลัง
เมื่อเอาจริงแบบนี้ ตัวจริงมีพร้อมเท่าไหร่ ก็ใส่สุดเท่านั้น
โปเช็ตติโน่ จึงเปลี่ยนไลน์อัพจากเกมชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-0 เมื่อวันเสาร์ แค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น คือ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ กลับสู่ตัวจริงอีกครั้ง แทนที่ มิไคโล มูดริค นอกนั้นคงเดิม 10 คน (ประตูมือสอง ยอร์เย่ เปโตรวิช เฝ้าเสา หลังบ้าน ลีวาย โคลวิลล์ ยืนแบ็กซ้าย คู่กลาง มอยเซส ไคเซโด้ - คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ หน้าเป้า นิโคลัส แจ๊คสัน)
ข้าวเกรียบยี่ห้อ นิวคาสเซิ่ล
ฝั่ง นิวคาสเซิ่ล เองก็เช่นกัน ว่า เอ๊ดดี้ ฮาว มาด้วยทีมหน้าเดิมๆ แทบไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรสักเท่าไหร่
เพียงแต่เหตุผลของการใช้ทีมชุดเดิม คงต่างไปจาก เชลซี ที่เล็งถึงแชมป์ เพราะที่ ฮาว ต้องจัดแบบนี้ ก็ด้วย "สภาวะจำยอม" ส่วนหนึ่ง
นี่คือลิสต์ตัวเจ็บของ นิวคาสเซิ่ล : 1. นิค โป๊ป, 2. แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์, 3. โจ วิลล็อค, 4. เอลเลียต แอนเดอร์สัน, 5. เจค็อบ เมอร์ฟี่, 6. ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์, 7. ฆาเบียร์ มานกีโย่, 8. ฟาเบียน แชร์, 9. โชลินตอน, 10. อเล็กซานเดอร์ อิซัค บวกด้วย 11. ซานโดร โตนาลี่ ที่ติดแบน
พบว่า ฮาว ต้องใช้ 11 คนแรกที่มี จามาล ลาสเซลส์, มิเกล อัลมิรอน, บรูโน่ กิมาไรส์, แอนโธนี่ กอร์ดอน และเจ้าหนูเด็ก 17 ลูอิส ไมลี่ย์ เป็นแกน (โดยมีบางคนทยอยฟิตกลับมาเป็นระยะ) ลงสนามมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 7-8 เกมติดต่อกันแล้ว หรือตั้งแต่เกมที่ชนะ เชลซี 4-1 ปลายเดือน พ.ย. เป็นต้นมา และที่สำคัญ โปรแกรมยังเป็น เสาร์-พุธ-เสาร์-พุธ ไม่ติดเบรคด้วย
ฉะนั้น ไม่น่าแปลกใจที่เมื่อเล่นไปๆ เชลซี จะครองเกมเหนือกว่าแบบเบ็ดเสร็จ ขณะที่ นิวคาสเซิ่ล เริ่มแข้งขาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนวิ่งไม่ออก แล้วในที่สุดก็ตรึงสกอร์นำเอาไว้ไม่อยู่
คนที่อยากขอบคุณ อีเอฟแอล ที่วางกฎให้ถ้วยนี้ ไม่ต้องมีต่อเวลาถ้าเสมอกันใน 90 นาที ก็นักเตะนิวคาสเซิ่ลนี่แหละ!
เผยเหตุผลกรณี เอ็นโซ เฟร์นานเดซ
หนึ่งในเรื่องที่เป็นประเด็นตั้งแต่เกมก่อน ก็คือกรณี เอ็นโซ เฟร์นานเดซ
นัดที่แล้ว มิดฟิลด์แชมป์โลกเจ้าของค่าตัว 106.7 ล้านปอนด์ หายจากทีมตัวจริงอย่างลึกลับไม่ทราบสาเหตุ โดยได้ลงสำรองแค่ 20 นาทีท้าย ซึ่ง โปเช็ตติโน่ ให้เหตุผลอ้อมแอ้มๆ ว่าเป็นเรื่องแท็กติก
มาวันนี้ เอ็นโซ กลับคืนสู่ 11 คนแรกอีกครั้ง แต่...ถูกถอดออกจากสนามในเพียง 32 นาที ให้ อาร์มันโด้ โบรย่า ลงไปแทน
ก็ไม่ปล่อยให้คาดเดากันไปใหญ่ โปเช็ตติโน่ เผยหลังเกมว่า ดาวเตะอาร์เจนไตน์แค่มีอาการป่วยไข้ติดพันเท่านั้น
"เขารู้สึกไม่สบาย ก่อนเกมนี้ เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่" พอชเผย "เมื่อเขาเริ่มเล่น มันก็ไม่ดีขึ้น นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาร้องขอการออกจากสนามด้วยตัวเอง หวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่"
ก็นะ อากาศลอนดอนเลขตัวเดียวขนาดนี้ ไม่ป่วยก็แปลก
ไม่บ่อยครั้งที่ 'เชลซี คู่ควรชนะ'
อย่างที่เกริ่นไว้แล้ว ว่าไม่น่าแปลกใจที่เมื่อเล่นไปๆ เชลซี จะครองเกมเหนือกว่าแบบเบ็ดเสร็จ ขณะที่ นิวคาสเซิ่ล เริ่มแข้งขาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนวิ่งไม่ออก แล้วในที่สุดก็ตรึงสกอร์นำเอาไว้ไม่อยู่
ความเหนือกว่าชัดๆ ของ เชลซี เกิดขึ้นตั้งแต่ครึ่งแรก แม้ว่าจะเกิดช็อตพลาด ไม่เข้าใจกันของ ติอาโก้ ซิลวา กับ เบอนัวต์ บาเดียชิล จนเสียประตูให้กับ นิวคาสเซิ่ล ใน 16 นาทีแรกก็ตาม
สถิติเมื่อจบเกมบอกว่า...
- ครองบอล : เชลซี 78% นิวคาสเซิ่ล 22%
โอกาสยิง : เชลซี 15 นิวคาสเซิ่ล 4
ยิงตรงกรอบ : เชลซี 4 นิวคาสเซิ่ล 2
เตะมุม : เชลซี 7 นิวคาสเซิ่ล 1
สิ่งที่น่าแปลกท่ามกลางสถิติเหล่านี้ ก็คือกว่าที่ เชลซี จะตามตีเสมอ 1-1 ได้ ก็ปาไปเพลย์สุดท้าย 90+2 เข้าไปแล้ว -- เรียกว่า "หวิดจะคาบ้าน" อยู่รอมร่อ
ทริปเปียร์ ต้องรดน้ำมนต์
ที่สำคัญ ในการไล่บดไล่บี้สุดชีวิตของ เชลซี ก็คงเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มี คีแรน ทริปเปียร์ ยื่นของขวัญกล่องโตให้
90+2 ทริปเปียร์ พยายามโหม่งลูกคืน มาร์ติน ดูบราฟก้า ปรากฏ "ลั่น" โดนไม่เต็ม บอลไม่ไปข้างหน้า เสร็จ มิไคโล มูดริค ตามมาโฉบลูกไปซัดผ่าน ดูบราฟก้า เข้าเสาไกล
และนี่คือการดวลจุดโทษที่เกิดขึ้น
CHE - โคล พาลเมอร์ เข้า 1-0
NEW - คัลลั่ม วิลสัน เข้า 1-1
CHE - คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ เข้า 2-1
NEW - คีแรน ทริปเปียร์ ซัดหลุดกรอบ
CHE - คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู เข้า 3-1
NEW - บรูโน่ กิมาไรส์ เข้า 3-2
CHE - มิไคโล มูดริค เข้า 4-2
NEW - แม็ตต์ ริทชี่ ยิงติดเซฟ
พบว่า ความ "ซวยซ้ำซวยซ้อน" ของแบ็กขวาแถวหน้าอย่าง ทริปเปียร์ ยังเกิดขึ้นมาตลอดหลายเกมหลัง
- นัดแพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-3 ทำเสียบอลจุดอันตราย 2 ครั้ง เสีย 2 ประตู
นัดแพ้ สเปอร์ส 1-4 โดน ซน ฮึง-มิน เล่นงานจนเสียผู้เสียคน
นัดแพ้ เอซี มิลาน 1-2 โดนจู่โจมฝั่งขวาจนเสียลูก 1-1 ก่อนแพ้ในที่สุด
เช่นกันกับเกมนี้ ที่ทั้งทำเสีย 1-1 ก่อนจบเกม และพลาดจุดโทษตอนดวลเป้า
ทริปเปียร์ ควรไปพัก...ถ้าไม่พัก ก็ควรเข้าวัดเข้าวารดน้ำมนต์สัก 7 วัด กำลังดี
ย้ำอีกทีว่า เชลซี ลุ้นแชมป์ถ้วยนี้ได้
บอกไว้ตั้งแต่รอบแล้วๆ มา แล้วว่า เชลซี สามารถตั้งความหวังกับ คาราบาว คัพ ปีนี้ได้เต็มที่
เหตุผล 2 ข้อข้างต้นของ โปเช็ตติโน่ ถูกต้องทั้งหมด และยังต้องบวกเพิ่มว่า 3) ทีมใหญ่แทบไม่เหลือแล้ว ยิ่งถ้า ลิเวอร์พูล ไม่รอดเงื้อมมือ เวสต์แฮม ด้วยแล้วล่ะก็
เชลซี ก็ดูดีกว่าใครในการจะไปถึงโทรฟี่
อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูผลที่แอนฟิลด์เป็นอันดับแรก แล้วอันดับสองก็คือผลจับสลากประกบคู่ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากเกมที่แอนฟิลด์นั่นเอง
เกิดถ้าโชคเข้าข้างให้ เชลซี ได้เจอ มิดเดิ้ลสโบรช์ (ถึงตัดเชือกได้เพราะเจอทีมลีกรองทั้งสิ้น) ขึ้นมา
ก็จองตั๋วไปเวมบลีย์ได้เลย!