เชลซี 1-1 คริสตัล พาเลซ : เก็บตกประเด็นหลังเกม สิงโตน้ำเงินคราม ไม่คมพอพาเสมอ ปราสาทเรือนแก้ว ในบ้าน

  • เชลซี เปิดบ้านเสมอกับ คริสตัล พาเลซ 1-1
  • นิโคลัส แจ็คสัน แม้จะทำประตูได้ แต่ในจังหวะสำคัญก็ยังหวังพึ่งไม่ได้
  • ตัวรุก เชลซี แย่งกันเล่นจนผลงานโดยรวมของทีมออกมาไม่ดี
FBL-ENG-PR-CHELSEA-CRYSTAL PALACE
FBL-ENG-PR-CHELSEA-CRYSTAL PALACE / HENRY NICHOLLS/GettyImages
facebooktwitterreddit

รายการ

พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024/25 นัดที่ 3

วันแข่งขัน

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2567

สนาม

สแตมฟอร์ด บริดจ์

ผลการแข่งขัน

เชลซี 1-1 คริสตัล พาเลซ

เอ็นโซ่-ไกเซโด้ กลางคู่นี้ผ่านตลอด..

หลัง โรเมโอ ลาเวีย ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ เชลซี เลือกใช้คู่หู เอ็นโซ่ แฟร์นันเดซ กับ มอยเซส ไกเซโด้ ลงเล่นยืนพื้นคู่กันในแดนกลางเหมือนซีซันก่อน แต่ออกมาแล้วยังดูน่าเป็นห่วงในแผนใหม่ของกุนซืออย่าง เอ็นโซ่ มาเรสก้า โดยเฉพาะในเกมรับที่แทบจะเบรคเกมรุกคู่แข่งไม่ได้เลย

ปัญหาของเกมรับ เชลซี ในตอนนี้จะว่ามาจากกองหลังเสียทีเดียวก็ไม่ใช่ เพราะถ้าคู่มิดฟิลด์แดนกลางตัดเกมไม่ได้ กองหลังก็เหมือนมีงานหนักขึ้นหลายเท่าตัว ซึ่งในหลายเกมที่ผ่านมารวมถึงเกมล่าสุด เป็นอีกครั้งที่เราเห็นคู่หู เอ็นโซ่-ไกเซโด้ ช้ากว่าคู่แข่งไปหนึ่งถึงสองก้าวเสมอ และแน่นอนว่าเมื่อพลาดจังหวะเข้าสกัดแรกไปแล้ว นักเตะทั้งสองไม่ใช่สายสปีดที่จะวิ่งกวดคู่แข่งทันจะไปรวบในจังหวะที่สองได้

ภาพรวมของ เชลซี ในตอนนี้ ปัญหาจึงไม่ใช่การสร้างสรรค์เกมรุกขึ้นไปโจมตีฝั่งตรงข้าม แต่เป็นการพยายามทำยังไงก็ได้ให้ไม่เสียประตูมากกว่า เพราะในด้านเกมรุกทั้ง เอ็นโซ่ และ ไกเซโด้ ต่างมีความสามารถในการปั้นเกมได้อย่างดี แต่จุดอ่อนคือพวกเขาเป็นคู่กลางที่หละหลวมในเกมรับมากเกินไปเมื่อลงเล่นคู่กัน ซึ่ง คริสตัล พาเลซ ก็อาศัยจุดอ่อนตรงนี้มาโจมตีจนได้ผลดีเลยทีเดียว

โจทย์ยากต่อไปของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า คือในตัวเลือกแดนกลางทั้ง 4 คนของทีมชุดใหญ่ กุนซือชาว อิตาเลียน จะจับคู่ไหนลงเล่นแล้วผสมออกมาได้สมดุลมากที่สุดทั้งเกมรุกและรับ ที่สำคัญคือหากส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดออกมาเป็นรูปแบบที่คู่หูราคาแพงต้องนั่งสำรอง กุนซืออย่าง มาเรสก้า จะใจแข็งพอที่จะอธิบายต่อบอร์ดบริหารหรือไม่

Eberechi Eze, Moises Caicedo
Chelsea FC v Crystal Palace FC - Premier League / Robin Jones/GettyImages

เมื่อ 'โอซิมเฮน' ไม่มา กองหน้าตัวจริงควรเป็นใคร ?

เกมเจอ คริสตัล พาเลซ เป็นอีกหนึ่งนัดที่กองหน้าอย่าง นิโคลัส แจ็คสัน ทำประตูได้ นั่นเท่ากับว่าในซีซันนี้ แจ็คสัน ยิงไปแล้ว 2 ประตูใน พรีเมียร์ลีก จากการลงเล่น 3 นัด และถ้าหากดูเพียงตัวเลขจนถึงตอนนี้รวมกับผลงานเมื่อซีซันก่อน แจ็คสัน เข้าเค้าว่าจะเป็นกองหน้าที่ใช่สำหรับทีม สิงห์บลูส์ แล้วหรือเปล่า ?

นิโคลัส แจ็คสัน ไม่ใช่ศูนย์หน้า 'สากกระเบือ' อย่างที่เขาได้รับการขนานนามในโลกอินเทอร์เน็ต แต่ดาวเตะรายนี้ก็ไม่ใช่กองหน้าจอมถล่มประตูเช่นเดียวกัน เพราะหลายครั้งที่จังหวะโอกาสเป็นใจ แจ็คสัน ก็สามารถส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้ เพียงแต่ในเกมที่ระดับความเข้มข้นเต็มสิบแรงม้าแบบ พรีเมียร์ลีก หากคุณจะก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ได้ คุณจำเป็นจะต้องมีนักเตะตัวปิดบัญชีไว้ในทีมอย่างน้อย 1-2 คน ดังเช่นที่ แมนฯ ซิตี้ มี เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ หรือ ลิเวอร์พูล มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งว่ากันตามตรง แจ็คสัน ยังไม่ใช่คน ๆ นั้น

นอกเหนือจากประตูยิงจ่อ ๆ ที่ แจ็คสัน ทำได้ในวันนี้ ดาวเตะชาว เซเนกัล มีจังหวะโอกาสอีกอย่างน้อย 2 หนที่จะเปลี่ยนบอลให้เป็นประตูได้ แต่ก็เข้าทรงเดิมคือ แจ็คสัน หลุดไปแล้วยิงออกหรือไม่ก็ติดเซฟผู้รักษาประตูในช่วงเวลาสำคัญเหมือนเดิม ตอกย้ำอีกทีว่าเขาไม่ใช่นักเตะที่แย่ แต่ก็ไม่ดีพอจะยืนค้ำเป็นตัวความหวังให้ เชลซี ได้เหมือนกัน

ทีนี้พลพรรค สิงโตน้ำเงินคราม เหลือทางเลือกไหนบ้าง ? คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู มีความเฉียบคมในการจบสกอร์ แต่ก็รับแรงปะทะกองหลังไม่ไหวจึงเหมาะกับการถอยลงมาเล่นหลังกองหน้ามากกว่า, เจา เฟลิกซ์ เป็นดาวเตะจอมเทคนิค แต่ก็ผอมบางเกินไป เอามาเล่น 'ฟอลซ์-ไนน์' ก็อาจจะพอไหว, มาร์ค กิว ก็ยังกระดูกไม่แข็งพอจะยืนพื้นเป็นตัวจริงในแดนหน้าได้ คำถามคือ เชลซี ที่ลงทุนไปมหาศาลในซัมเมอร์นี้ ทำไมยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ ?

Nicolas Jackson
Chelsea FC v Crystal Palace FC - Premier League / Robin Jones/GettyImages

โคลวิลล์-โฟฟาน่า คู่หูนี้ใช้ได้

ท่ามกลางผลงานน่าผิดหวังที่ เชลซี ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งในบ้านตนเองได้ ยังมีเรื่องดี ๆ คือการจับคู่กันของ ลีไว โคลวิลล์ และ เวสลีย์ โฟฟาน่า ที่เริ่มดีขึ้นจากแมตช์ก่อน ๆ โดยวันนี้สองคู่หูเซนเตอร์แบ็ครุ่นเยาว์ยืนเกมรับคู่กันได้แข็งแกร่งน่าสนใจทีเดียว

หากไม่นับลูกที่เสียประตูซึ่งความผิดพลาดไม่ได้มาจากพวกเขาทั้งสอง โคลวิลล์ และ โฟฟาน่า ช่วยกันบู๊และบุ๋นได้อย่างลงตัวจนเกมรุกของ คริสตัล พาเลซ ไม่ได้สร้างโอกาสเข้าทำประตูที่น่ากลัวมากมาย โดยที่ทั้งสองคนมีจุดเด่นที่ผสมผสานกันออกมาแล้วเชื่อว่าจะลงตัวในอีกไม่ช้า

ทางด้าน ลีไว โคลวิลล์ ที่ซีซันก่อนโดนจับไปเล่นเป็นแบ็คซ้าย พอกลับมายืนปักหลักเป็นเซนเตอร์แบ็คทำให้เราได้เห็นประโยชน์ในการสกัดกั้นลูกกลางอากาศรวมถึงความแข็งแกร่งในการต่อกรกับเหล่ากองหน้าร่างยักษ์ของคู่แข่งได้ดี

ส่วนด้าน เวสลีย์ โฟฟาน่า จุดเด่นคือมีความเร็วและยืดหยุ่นสูง สามารถวิ่งไล่กวดตัวรุกสายสปีดของคู่แข่งได้พอฟัดพอเหวี่ยง แถมยังมีลูกเทคนิคช่วยเลี้ยงฝ่าตะลุยขึ้นไปช่วยเกมรุกได้ในบางจังหวะด้วย

ดูทรงแล้วคู่หูสองคนนี้น่าจะยืนปักหลักตัวจริงกันไปยาว ๆ หากไม่มีใครเจ็บป่วยหรือฟอร์มหลุดกันไปเสียก่อน โดยที่แฟน เชลซี ก็น่าจะไว้วางใจทั้งสองคนนี้มากกว่าเซนเตอร์ฮาร์ฟอย่าง เบอนัวต์ บาเดียชิลล์ และ อักเซล ดิซาซี่ ที่ไม่รู้ว่าฟอร์มจะเข้าฝักกันกี่โมง

Jean-Philippe Mateta, Levi Colwill
Chelsea FC v Crystal Palace FC - Premier League / Robin Jones/GettyImages

ในวันที่ทุกคนอย่างเป็นฮีโร่ ผลเสียจึงมาลงที่ทีม

ในโลกของฟุตบอล ทุกการวางแผน ทุกการเลือกซื้อตัวผู้เล่น ย่อมมีผลดี-ผลเสียมาคู่กันเสมอ และแน่นอนว่าโปรเจกต์การทำทีมที่อุดมไปด้วยเหล่าผู้เล่นดาวรุ่งคุณภาพของ เชลซี ในตอนนี้ แม้จะมีผลดีในแง่ของการใช้งานนักเตะในระยะยาว แต่ผลเสียคือสภาพจิตใจนักเตะที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้

เห็นได้ชัดเลยว่าผู้เล่นของ เชลซี มีความกระหายในชัยชนะและอยากพิสูจน์ตนเองให้โลกได้รู้ว่าข้าของจริง แต่เมื่อความกระหายมันมากเกินความพอดี แน่นอนว่าผลเสียจึงมาลงที่ผลงานทีมโดยรวม โดยเฉพาะเหล่าบรรดาเกมรุกในวันนี้ที่หวงบอลกันแบบสุด ๆ

เราได้เห็น โนนี่ มาดูเอเก้ พยายามหาช่องยิงประตูเองมากกว่าส่งบอลให้เพื่อนยิง, เราได้เห็น เจา เฟลิกซ์ โชว์สเต็ปเลี้ยงแหวกคู่แข่งอย่างสวยเพียงเพราะอยากจะสับไกยิงเองทั้ง ๆ ที่มีเพื่อนว่างอยู่ข้างหน้าหลายคน, เราได้เห็น โคล พาลเมอร์ เตะบอลอัดป้ายโฆษณาเพราะรูปเกมไม่ออกมาตามที่คาดหวังจนโดนใบเหลืองไปฟรี ๆ

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง 'สปิริต' ของนักเตะ เชลซี ชุดนี้ที่อยากจะเอาชนะคู่แข่งให้ได้ในทุกนัด แต่ข้อเสียคือมันกลับกลายเป็นเกิน 'ความพอดี' จนเสียความเป็นทีมเวิร์คและส่งผลให้รูปแบบการเล่นพังทลายโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่บีบหัวใจซึ่งพวกเขายังต้องเผชิญกันอีกหลายครั้ง

แน่นอนว่าหากพลพรรค สิงห์บลูส์ อยากประสบความสำเร็จไปอีกขั้น พวกเขาต้องเติบโตและรู้จักควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองให้ได้ เพราะฟุตบอลไม่ได้วัดกันแค่ฝีเท้าหรือจำนวนประตูที่ทำได้ แต่เป็นคุณภาพโดยรวมว่าทั้งทีมเล่นออกมาสามัคคีกันมากเพียงใด และแต่ละคนมองเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนหรือไม่

Cole Palmer
Chelsea FC v Crystal Palace FC - Premier League / Robin Jones/GettyImages

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของทีม เชลซี ได้ที่นี่

feed