เชลซี 1-2 ไบรท์ตัน : เก็บตก 5 ประเด็นร้อนหลังเกม สิงห์น้ำเงิน ปรับส่งสำรองไปโดน ไบรท์ตัน ยิงแซงคว้าชัย
รายการ: | ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2022/23 |
---|---|
วันแข่งขัน: | วันเสาร์ที่ 15 เมษายน 2023 |
สนาม: | สแตมฟอร์ด บริดจ์ |
ผลการแข่งขัน: | เชลซี 1-2 ไบรท์ตัน |
ความพ่ายแพ้ที่...เลือกเอง
เป็นเรื่องพอเข้าใจได้ที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ตัดสินใจปรับทัพนักเตะ เชลซี แบบเกือบๆ ยกแผง เปลี่ยนเกือบทั้งทีมจากเกมแพ้ เรอัล มาดริด 0-2 เมื่อกลางสัปดาห์ โดยหลงเหลือแกนหลักอยู่แค่ เคปา อาร์ริซาบาลาก้า, เบน ชิลเวลล์, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, เอ็นโซ เฟร์นานเดซ และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง นั่นเพราะเกมแก้มือกับ เรอัล มาดริด รออยู่อย่างกระชั้นชิดในเพียงวันอังคารที่จะถึงนี่เท่านั้น
แต่จะบอกว่า นี่เป็นความพ่ายแพ้ที่ "เกินคาด" ก็คงไม่ใช่
เมื่อชัดเจนอยู่แล้วว่า ลำพังทีมชุดแรกสุดยังโงนเงนง่อนแง่นมาตลอดช่วงหลัง เมื่อปรับส่งสำรองลงพรวดเดียว 6-7 คนแบบนี้ มันจะไปเหลืออะไร
แลมพาร์ด ตัดสินใจโยนเกมนี้ทิ้ง (การส่งแกนหลักลงสำรองมา 4 คนในครึ่งหลัง ไม่ใช่เรื่องที่สามารถอ้างได้ว่าพยายามแล้ว) ด้วยเพราะไม่ต้องการให้นักเตะกำลังสำคัญอ่อนล้าเกินไป และหวังผลถึงเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มากกว่า
แพ้ ไบรท์ตัน คาบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมาดูกันว่า การเดิมพันครั้งใหญ่ครั้งนี้ จะได้ผลออกหัวหรือก้อยในเกมชี้ชะตากับ เรอัล มาดริด
3 นัด 3 ระบบ
3 เกมแรกของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ในการหวนกลับมาจับงาน ณ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ล้วนแต่จบลงด้วยความพ่ายแพ้
- แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 0-1
แพ้ เรอัล มาดริด 0-2
แพ้ ไบรท์ตัน 1-2
แง่ดีอย่างเดียวคือการเบิกสกอร์แรกได้แล้วจาก คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ แต่แง่ร้ายนั้น...จัดว่าเพียบ!
และถึงตรงนี้ ยังเป็นคำถามว่า ระบบไหนที่ แลมพาร์ด จะยึดถือเป็นหลัก สำหรับการทำทีมตราสิงห์ งวด 2
เพราะเกมแพ้ วูล์ฟส์ เขาเริ่มต้นด้วยหมาก 4-3-3 ซึ่งเป็นการปรับครั้งใหญ่จากที่นักเตะตราสิงห์คุ้นเคยกับ 3-4-3 หรือ 3-5-2 มาตลอดในยุค เกรแฮม พ็อตเตอร์ / บรูโน่ ซัลตอร์
จากนั้นมาเกมดวลกับแชมป์ยุโรป เรอัล มาดริด เขาเปลี่ยนไปใช้ 3-5-2 ในหน้ากระดาษ และ 5-3-2 ในสนาม
พอมาเกมล่าสุดนี้ นอกจากปรับใช้สำรองหลายรายแล้ว ก็ยังเปลี่ยนระบบอีกรอบไปเป็น 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 ตามจังหวะการเล่น
3 นัด 3 ระบบและ 3 ความพ่ายแพ้
หรืองวดนี้ เลข 3 จะมา?!?
ฝั่งไหนเชลซี ฝั่งไหนไบรท์ตัน
ใช่ที่ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ กระทุ้งประตูพา เชลซี ขึ้นนำ ไบรท์ตัน อย่างรวดเร็วในเพียง 13 นาทีแรก จากการแอสซิสต์สั้นๆ ของ มิไคโล มูดริค
แต่ว่าภาพของเกมตลอดช่วงหลังจากนั้น...
น่าสับสนมากว่าฝั่งไหน เชลซี ฝั่งไหน ไบรท์ตัน กันแน่!
เพราะยิ่งเล่น ยิ่งนานนาที ยิ่งกลายเป็น ไบรท์ตัน ที่โถมเข้าใส่ จู่โจมแล้วจู่โจมอีกจน เคปา อาร์ริซาบาลาก้า ต้องเซฟแล้วเซฟอีก...จนในที่สุุดก็ช่วยไม่ไหว
ต่างกันขนาดไหน สถิติตัวเลขเป็นพยาน
สถิติเมื่อสิ้นครึ่งแรก
ครองบอล : เชลซี 32% / ไบรท์ตัน 68%
ยิงรวม : เชลซี 3 / ไบรท์ตัน 12
ยิงตรงกรอบ : เชลซี 1 / ไบรท์ตัน 5
เตะมุม : เชลซี 1 / ไบรท์ตัน 4
ถ้ายังชัดไม่พอ ก็ขอให้ดูสถิติเมื่อจบเกม
ครองบอล : เชลซี 42% / ไบรท์ตัน 58%
ยิงรวม : เชลซี 8 / ไบรท์ตัน 26
ยิงตรงกรอบ : เชลซี 2 / ไบรท์ตัน 10
เตะมุม : เชลซี 2 / ไบรท์ตัน 8
ทรงแบ๊ดแบบนี้ แพ้มา 3 เกมติดแบบนี้ ถ้าจบเกมแล้วแฟนไม่โห่สิแปลก
ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ไม่ผิดแน่นอนถ้าจะว่าบอกนี่คือเกมที่ เชลซี เล่นได้แย่ที่สุดเกมหนึ่งของซีซั่น -- คู่ควรจะแพ้ ไบรท์ตัน แบบโดนยิงสัก 3-4 เม็ดขึ้น มากกว่าแพ้ฉิวเฉียดแค่ 1-2
และบรรดานักเตะที่ถูกคว้ามาเสริมทัพ แล้วได้ลงสนามตัวจริงวันนี้ ล้วนแต่เล่นได้ "น่าผิดหวัง" ทั้งหมด
- เวสลี่ย์ โฟฟาน่า 69.5 ล้านปอนด์
เบอนัวต์ บาเดียชิลด์ 33 ล้านปอนด์
เอ็นโซ เฟร์นานเดซ 107 ล้านปอนด์
เดนิส ซากาเรีย (เช่ามา) 2.7 ล้านปอนด์
มิไคโล มูดริค 62 ล้านปอนด์
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง 47.5 ล้านปอนด์
6 คน 322 ล้านปอนด์ แล้วเล่นกันน่าส่ายหัวแบบนี้ ที่เจ็บปวดกว่าใครย่อมเป็น ท็อดด์ โบห์ลี่
ออกเที่ยวได้เลย
นี่คือการแพ้นัดที่ 3 ติดต่อกันของ เชลซี ยุค แลมพาร์ด และการชนะใครไม่เป็น 6 เกมซ้อนในการใช้ 3 กุนซือ (พ็อตเตอร์ / บรูโน่ / แลมพาร์ด)
อีกทั้งยังเป็นการแพ้นัดที่ 12 จาก 31 เกมพรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้
บอกไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้วว่า พรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ของ เชลซี จบไปแล้ว และการแพ้ซ้ำอีกทีในวันนี้ ก็ทำให้ความหวังทุกอย่างไม่มีเหลือ วี่แววความเป็นไปได้คือจบสูงสุดไม่เกินอันดับ 7 และต่ำสุดก็ไม่น่าเกินที่ 13-14
อีกทั้งการแพ้ เรอัล มาดริด 0-2 ในเลกแรกของ ชปล. ที่สเปน ก็ทำให้ "เลิกหวัง" ไปได้เลยเหมือนกัน--ท่ามกลางฟอร์มฟุบๆ แบบนี้ ในการจะพลิกกระดานเขี่ยเจ้ายุโรป 14 สมัยร่วงไปใน สแตมฟอร์ด บริดจ์
เอาเป็นว่าถ้ายังแอบหวัง ก็เอาใจช่วยกลางดึกอังคารที่จะถึงนี้อีกสักนัด
แต่ถ้าไม่เชื่อแล้วว่า เด็กๆ ของ แลมพาร์ด จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้ ก็จบกัน พรุ่งนี้แฟนบอลเชลซีสามารถออกทริปเที่ยวป่า ลุยดงพงไพรสักเดือนครึ่งได้เลย กลับบ้านมาอีกที ซีซั่นก็จบพอดี
จะได้ไม่ต้องทนปวดใจ ต้องดูความพ่ายแพ้ไม่เป็นทรงเกมแล้วเกมเล่าของทีมรัก อีกต่อไป