เชลซี 2-1 พาเลซ : ประเด็นน่าสนใจจากเกม พรีเมียร์ลีก นัด สิงห์น้ำเงิน เฉือนชัยจากจุดโทษปัญหา นาที 89 - FEATURE
• แต่ก็ต้องลุ้นหนัก เมื่อศึกระหว่าง คริสตัล พาเลซ หวิดออกเสมอ
• ชนะได้จากจุดโทษปัญหา และ 'ดุลยพินิจ' ของผู้ตัดสิน
รายการ: ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2023/24
วันแข่งขัน: วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2566
สนาม: สแตมฟอร์ด บริดจ์
ผลการแข่งขัน: เชลซี 2-1 คริสตัล พาเลซ
แผงรุกใหม่ส่งท้ายปี
พูดได้ว่า นับตั้งแต่เข้ามานั่งเก้าอี้ใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่มีเกมไหนเลยที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จะมีสภาพทีม 100% สามารถใช้งานนักเตะ เชลซี ได้แบบครบถ้วน
เกมนี้ ตัวเจ็บเก่าเก็บอย่าง คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ฟิตลงตัวจริงหนแรก และ โรมิโอ ลาเวีย ก็ฟื้นกลับมาเป็นสำรองได้แล้ว แต่ที่ขาดหายไปมีทั้ง...
- โคล พาลเมอร์ ติดโทษแบน
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ติดโทษแบน
เอ็นโซ เฟร์นานเดซ เจ็บไส้เลื่อน
โรเบิร์ต ซานเชซ, มาร์ก กูกูเรย่า, รีซ เจมส์, เทรโวห์ ชาโลบาห์, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, เบน ชิลเวลล์, คาร์นี่ ชุคเวเมก้า, เลสลี่ย์ อูโกชุควู เจ็บอยู่ก่อนทั้งหมด
11 รายชื่อ 11 คนพอดี ที่ เชลซี ไม่สามารถใช้งานได้ในวันนี้
ผลคือการเกิด "แนวรุกชุดใหม่" ที่ไม่เคยประสานงานกันมาก่อน ยกเว้นในสนามซ้อม -- มิไคโล มูดริค ขึ้นทางซ้าย, ยาน มาตเซ่น อยู่กราบขวา คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู เป็นตัวปั้นเกม ให้ นิโคลัส แจ๊คสัน ค้ำหอกเป้า
- มูดริค : 16 นัด 2 ประตู
มาตเซ่น : 11 นัด 0 ประตู
เอ็นคุนคู : 2 นัด 1 ประตู
แจ๊คสัน : 17 นัด 6 ประตู...จากโอกาสพันกว่าครั้ง
น่าหนักใจ...ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
ครึ่งแรก จัดว่าแจ่ม
แต่ทว่า เชลซี ก็เริ่มต้นเกมได้อย่างยอดเยี่ยม ขึ้นนำเร็วในเพียง 13 นาทีแรก จากจังหวะลุยจากขวาสุดมาซ้ายสุดของ มาโล กุสโต้ แบ็กฝรั่งเศส เพื่อแอสซิสต์ให้ มิไคโล มูดริค สอยประตูที่ 3 ใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้
ถัดจากนั้น ทั้ง มูดริค, เอ็นคุนคู และโดยเฉพาะ นิโคลัส แจ๊คสัน ถือว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม (มีเงียบๆ หน่อยก็ มาตเซ่น) รายหลังสุดสามารถเก็บบอลเล่นเกมปะทะกับเซนเตอร์แบ็ก คริสตัล พาเลซ ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่แก้ไม่ตก และอาจไม่มีวันแก้ได้ตกของ เชลซี ก็คือเรื่องของการ "ใช้โอกาสเปลือง" ซึ่งเกมนี้ก็เช่นกัน
ทุกชื่อที่ว่ามาข้างต้น มีโอกาสทำให้สกอร์ถ่างขึ้นเป็น 2-0 หรือกระทั่ง 3-0 ได้ทั้งหมด--หากว่าจะเฉียบคมมากพอ
แต่สิ่งที่เป็นจริงคือ เชลซี หนีไปมากกว่า 1-0 ไม่ได้ จนกระทั่งโดน พาเลซ ตามทวงคืน 1-1 ทดเจ็บนาทีแรก เมื่อ ลีวาย โคลวิลล์ เปิดพื้นที่ของตัวเอง และ มอยเซส ไคเซโด้ ตามไม่สุด จน ไมเคิ่ล โอลิเซ่ ได้โอกาสล่อเป้าเข้าเสาแรกแบบที่ ยอร์เย่ เปโตรวิช เอาไม่อยู่
ครึ่งหลังที่น่าปวดหัว
หนึ่งคือขุมกำลังมีน้อย หลังจากเจ็บแบนไปซะ 11 คน
สองคือ เมื่อมีการเปลี่ยนตัวสักครั้ง ก็ต้องสลับปรับเปลี่ยนตำแหน่งกันที
สำคัญคือ ครึ่งหลังของเกมนี้ โปเช็ตติโน่ เปลี่ยนแบบ "เต็มโควตา" 5 ตัวสำรอง ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือการ... โยกโยกโยก โยกเข้าไปให้มันหลุดโลก!
- - ติอาโก้ ซิลวา (แทน ลีวาย โคลวิลล์ 58') ลงสำรองไปเพื่อยืนเซนเตอร์แบ็กคู่ เบอนัวต์ บาเดียชิล
- อักเซล ดิซาซี่ ถ่างออกแบ็กขวา
- มาโล กุสโต้ โยกไปลงแบ็กซ้าย
- โรมิโอ ลาเวีย (แทน มาตเซ่น 58') ลงมายืนตัวต่ำสุดแดนกลาง
- มอยเซส ไคเซโด้ ขยับสูงขึ้น มีบทบาทเพิ่มในเกมรุก
- คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ขึ้นสูงไปเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกตรงกลาง
- คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู จากตรงกลางก็ต้องถ่างออกมาขวาหน่อย
- แต่ทั้ง เอ็นคุนคู เล่นตรงนี้ไม่นานก็ต้องออก
- อาร์มันโด้ โบรย่า (แทน มูดริค 71') กับ โนนี่ มาดูเอเก้ (แทน เอ็นคุนคู 71') ลงมา โดยที่ โบรย่า ลงทางซ้าย มาดูเอเก้ ลงทางขวา
แจ๊คสัน...อีกแล้ว
ครึ่งแรกเล่นอย่างดี เก็บบอลได้ จ่ายบอลสวย แต่ไร้สกอร์...เป็นปกติ
แต่สิ่งที่ทำให้ นิโคลัส แจ๊คสัน มีเกมที่เป็น "ไฮไลท์" อีกครั้ง คือสิ่งที่เกิดขึ้นในครึ่งหลัง
นาที 74 แจ๊คสัน สบโอกาสทะลุช่องเข้าดวลเดี่ยวกับ ดีน เฮนเดอร์สัน แล้วเลือกดีดสวนตัวนายทวาร... หลุดเสาไปแบบตกตะลึงและกุมหัวกันทั้งสนาม
นาที 76 ติอาโก้ ซิลวา สาดให้ แจ๊คสัน จิ้มไม่จับเข้าเสาแรกอย่างสวยงาม พร้อมออกท่าสไลด์เข่าแสดงความสะใจ...สุดท้ายกลายเป็นเฮเก้อ โดน VAR จับล้ำหน้าไปเสีย
เท่ากับเกมนี้ เป็นอีกครั้งที่ "แอฟริกันเนย์มาร์" ยิงไม่ได้
และสถิติฟ้องว่า จากที่ยิงได้ทั้งหมด 7 ประตู (1 แฮตทริก) นั้น มาจากโอกาสทั้งหมดถึง 43 ครั้งทีเดียว -- พลาดโอกาสทองไปถึง 12 หน สูงสุดเป็นอันดับ 4 พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้
- 1. เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ 17
2. ดาร์วิน นูนเยซ 15
3. โอลลี่ วัตกิ้นส์ 13
4. นิโคลัส แจ๊คสัน 12
5. โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน 9
5. ราสมุส ฮอยลุนด์ 9
5. อเล็กซานเดอร์ อิซัค 9
"ดุลยพินิจ"
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เกมจะจบด้วยผลเสมอ 1-1 เชลซี ก็มาได้การตัดสินครั้งสำคัญจากท่านเปา ไมเคิ่ล แซลิสบิวรี่ ให้สามารถผ่านเกมนี้ไปได้ด้วยชัยชนะ
จังหวะงัดกันล้มลงไปที่ริมเขตโทษ (ด้านใน) ของ เอเบเรชี่ เอเซ่ กับ โนนี่ มาดูเอเก้ ในนาทีที่ 89 ถูกเป่าเป็นจุดโทษหลังจากผู้ตัดสินใช้เวลาเช็ก VAR อยู่ชั่วขณะ
แง่หนึ่ง สามารถตีความได้ว่า จังหวะนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เอเซ่ หันมาก็ชนเข้ากับ มาดูเอเก้ แล้ว--อย่างไม่ตั้งใจ
แต่แง่หนึ่ง ก็สามารถมองได้ว่า เอเซ่ ฟาวล์จริง และเกิดในเขตโทษจริง อย่างที่ผู้ตัดสินมองเห็น
ฉะนั้น นี่คือจังหวะที่ขึ้นอยู่กับ "ดุลยพินิจ" ของผู้ตัดสิน โดยแท้ และ เชลซี ได้ประโยชน์จากจุดนี้ไปสำหรับแมตช์นี้
ได้แต่หวังว่าจะใจเย็นพอ
ก่อนเกม เกิดเสียงวิจารณ์อื้ออึงจากบรรดานักเตะเก่า เชลซี เอง ว่าทีมชุดนี้ที่ลงทุนไปร่วม 1 พันล้านปอนด์ ทำไปทำมาเข้าข่ายน่าผิดหวัง มากกว่าจะมองเห็นอนาคตสดใสเรืองรอง
ก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อผลงานและอันดับตาราง ฟ้องอยู่แล้วว่า เชลซี ยังไม่ดีพอ
เกมนี้อาจชนะ แต่ก็เพราะมีโชคดวงช่วยส่งเสริม ส่วนถ้าเกมไหนไม่เข้าที่เข้าทาง ก็พร้อมแพ้อย่างง่ายๆ เหมือนที่พ่าย วูล์ฟส์ เกมก่อน
แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อตัวเจ็บยังเยอะ และบางคนเพิ่งทยอยฟิตกลับมา "ห้องทดลองทางลูกหนัง" ของ โปเช็ตติโน่ ก็จึงยังต้องดำเนินต่อไป
แมนฯ ซิตี้ อาจเคยเปิดที่ทางให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทดลองทีมของเขาตลอด 1 ปีเต็มในซีซั่นแรกที่ย้ายมารับงาน ผลงานคือความมือเปล่าในปีนั้น แต่ถัดมา การทดลองเหล่านั้นก็ได้ผลลัพธ์คือแชมป์ พรีเมียร์ลีก รัวๆ และ 3 แชมป์ประวัติศาสตร์ในซีซั่นล่าสุด
กับเชลซี... บอกไม่ได้จริงๆ ว่า ท็อดด์ โบห์ลี่ จะพร้อมรอ โปเช็ตติโน่ ขนาดนั้นไหม