อังกฤษ 1-0 ออสเตรเลีย : ประเด็นหลังเกม สิงโตคำราม ขนสำรองลงลองของ แต่ยังกำชัยได้ตามเป้า - FEATURE
• แต่ก็ยังดีพอจะเบียดชนะ ออสเตรเลีย ได้ 1-0
• โอลลี่ วัตกิ้นส์ กดอีกเม็ดในระดับชาติ พา อังกฤษ ผ่านเกมนี้ได้ด้วยชัยชนะ
รายการ: ฟุตบอลกระชับมิตรทีมชาติ
วันแข่งขัน: วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2566
สนาม: เวมบลีย์ สเตเดี้ยม
ผลการแข่งขัน: อังกฤษ 1-0 ออสเตรเลีย
เกมลองของเต็มอัตรา
แรกสุดคือชุดนี้ ตัวเจ็บไม่ได้มาร่วมทีมเยอะเลย ไม่ว่าจะ บูกาโย่ ซาก้า, รีซ เจมส์, เบน ชิลเวลล์, ลุค ชอว์, คัลลั่ม วิลสัน หรือที่ตั้งใจมองข้ามก็มีอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ เมสัน เมาท์
ถัดมาคือ เกม "สำคัญกว่า" กับ อิตาลี มีรออยู่ในวันที่ 17 ต.ค. พร้อมสถานการณ์ที่ว่า ถ้าชนะก็จะตีตั๋วเข้ารอบสุดท้าย ยูโร 2024 เลยทันที
สองเหตุผลหลักๆ นี้ ทำให้ แกเร็ธ เซาธ์เกต เลือกใช้แมตช์นี้เป็น "เกมลองของ" เปิดทางให้บรรดาแข้งสำรองหลายรายได้ลงตัวจริง ในระบบ 4-2-3-1
นายประตูเป็น แซม จอห์นสโตน จาก คริสตัล พาเลซ ที่ก่อนหน้านี้เคยรับใช้ชาติมาแค่ 3 นัด
หลังบ้านเป็นคู่เซนเตอร์ new look อย่าง ลูอิส ดังค์ - ฟิคาโย่ โทโมรี่ พร้อมใช้งาน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยืนแบ็กขวา และ ลีวาย โคลวิลล์ ประเดิมเกมทีมชาติชุดใหญ่ ด้วยตำแหน่งแบ็กซ้าย ที่ขาดแคลนตัวเลือกอย่างเห็นได้ชัด
ตรงกลางใช้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นตัวรับ ประกบคู่มิดฟิลด์โดย คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ (เล่นทีมชาติมา 9 นัด)
ส่วนแนวรุก ฝากความหวังจบสกอร์ที่ โอลลี่ วัตกิ้นส์ โดยมี แจ๊ค กรีลิช, จาร์ร็อด โบเว่น และ เจมส์ แมดดิสัน เป็นตัวทำเกม
จิงโจ้ที่แทบไม่รู้จัก
ฝั่ง ออสเตรเลีย ถือว่าช่วงหลายปีหลังมานี้ นักเตะระดับ "ซูเปอร์สตาร์" แทบไม่เหลือแล้ว เมื่อหมดยุค แฮร์รี่ คีเวลล์, มาร์ค วิดูก้า, ทิม เคฮิลล์ หรือ มิเล่ เยดินัค ไปได้พักใหญ่
ตัวดังสุดของทัพจิงโจ้ "ซอคเกอรูส์" นาทีนี้ เป็น แฮร์รี่ ซุตตาร์ เซนเตอร์แบ็กร่างยักษ์จาก เลสเตอร์ ซิตี้ กับ แม็ต ไรอัน นายประตูที่เคยอยู่ ไบรท์ตัน และ อาร์เซน่อล (ตอนนี้ไป อาแซด อัล์คมาร์) นอกนั้นแม้กระจัดกระจายค้าแข้งอยู่ทั่วทั้งยุโรป, เอเชีย และในลีกออสเตรเลียเอง แต่ก็ค่อนข้างโนเนมในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ถือว่า ออสเตรเลีย ในการทำทีมของ เกรแฮม อาร์โนลด์ มุ่งมั่นตั้งใจกับเกมนี้ไม่ใช่น้อย ด้วยการที่เป็นนัดเตรียมความพร้อมครั้งสำคัญ ก่อนลงเล่นฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก รอบ 2 โซนเอเชีย ช่วงกลางเดือนหน้า
ทั้งนี้ อังกฤษ กับ ออสเตรเลีย เคยเจอกันมา 7 ครั้งในเกมลับแข้ง อังกฤษ ชนะ 4 เสมอ 2 และ ออสเตรเลีย ชนะ 1
อย่างไรก็ตาม การเจอกันหนก่อนเมื่อปี 2016 (อังกฤษชนะ 2-1 มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ เวย์น รูนี่ย์ มีสกอร์) ถือเป็นการพบกันหนเดียวเท่านั้นในรอบ 2 ทศวรรษหลัง ก่อนมาถึงเกมวันนี้
เวลคัมแบ๊ก...เฮนเดอร์สัน
ในการจัดทัพของ เซาธ์เกต ยังมี 1 ประเด็นที่สื่อให้ความสนใจค่อนข้างเยอะ โดยมีการตั้งคำถามว่า "ควรพอได้ยัง" กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่นอกจากจะปาไป 33 แล้ว ก็ยังหลบไปเล่นใน โปรลีก ซาอุฯ อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม เซาธ์เกต แสดงให้เห็นถึงความชัดเจนใน "my choice" กับการให้ เฮนเดอร์สัน ทั้งรับหน้าที่กัปตันและลงตัวจริงเกมนี้ ซึ่งคงเหมือนกันกับที่หลายฝ่ายพยายามบอกว่า แฮร์รี่ แม็กไกวร์ รั่วขนาดไหน แต่ เซาธ์เกต ก็ยังไว้ใจและให้ แม็กไกวร์ เป็นตัวจริงในทีมของเขาเสมอมา
สำหรับนัดนี้ เฮนเดอร์สัน ได้อยู่ในสนาม 1 ชั่วโมงเต็ม โดยมีหน้าที่เน้นเกมรับเป็นพิเศษ ยืนต่ำสุดในบรรดาแดนกลางระบบ 4-2-3-1 ซึ่งก็ทำให้ไม่โดดเด่นนัก ไม่ได้มีโอกาสเติมสูงเข้าทำ และสื่อหลายๆ เจ้า รวมถึงเรา ตัดเกรดพื้นๆ ที่ 6/10
สิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นการบอกใบ้ว่า เซาธ์เกต ยังต้องการใช้ประสบการณ์และลูกเก๋าของ เฮนโด้ ในทีมของเขาต่อไป อย่างน้อยก็ไปจนถึงทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2024 รอบสุดท้าย แล้วค่อยบอกลากันเมื่อสิ้นสุดภารกิจที่เมืองเบียร์
เล่นดีมีแวว
สำหรับแข้งสิงโตคำรามที่เล่นได้ "ค่อนข้างเด่น" ในเกมกับ ออสเตรเลีย นี้ มีอยู่ประมาณ 4-5 คน คือ แซม จอห์นสโตน ที่มีช็อตเซฟสำคัญ เหนียวหนึบวางใจได้, ลีวาย โคลวิลล์ ประเดิมเกมทีมชาติด้วยการลงแบ็กซ้ายจำเป็น (เหมือนตอนอยู่ เชลซี) แต่ก็สอบผ่าน มีประโยชน์สูงกับเกมรับ ลูกกลางอากาศ แม้เกมรุกจะเงียบๆ ไปนิดก็ตาม, แจ๊ค กรีลิช การเล่นกับ แมนฯ ซิตี้ ในตลอด 2 ปีหลัง ชัดเจนว่าช่วยยกระดับฝีเท้าเขาขึ้นอีกขั้น เกมนี้ทั้งที่โดนประกบ 2-3 ปิดตายอยู่ตลอด ก็ยังทำแอสซิสต์ได้ในประตูตัดสินเกม
ส่วนแมนออฟเดอะแมตช์ คือ โอลลี่ วัตกิ้นส์ ที่ค้ำหน้าเป้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างอันตรายคุกคาม ไม่ใช้โอกาสเปลืองเกินไปในการเปิดสกอร์ที่ต้องการ
นี่คือประตูที่ 3 แล้ว จากการลงสนามให้ อังกฤษ เป็นเกมที่ 8
ทั้ง 4 ชื่อที่ว่ามา สอบผ่านในเกมนี้ และในระยะยาวถ้าไม่เจ็บหรือฟอร์มหลุดหนักๆ กับต้นสังกัดไปเสียก่อน ก็มีโควตาลุย ยูโร 2024 แน่นอน
อังกฤษยังคงเป็นอังกฤษ
แต่อย่างไรเสีย อังกฤษ ยังคงเป็น อังกฤษ ซึ่งหมายถึงทีมที่มีความ "เล่นเอื่อยๆ เนือยๆ" ให้เห็น และชวนง่วงใช้ได้เลยเมื่อเวลาของเกมผ่านไประยะหนึ่ง
ยังดีที่จังหวะจ่ายของ แจ๊ค กรีลิช ลงล็อคพอดีให้ โอลลี่ วัตกิ้นส์ เข้าชาร์จตุงตาข่าย นาทีที่ 57 จนมีประตูเรียกเสียงเฮสนั่นในเวมบลีย์
ไม่เช่นนั้น ก็น่าหวาดเสียวเหลือเกินว่าเกมจะจบ 0-0 และมีเสียงโห่แทนเสียงเฮในตอนท้าย
ก็นั่นล่ะ คำถามที่ เซาธ์เกต ต้องตอบให้ได้ ว่า "อัตลักษณ์" ของพวกเขาคืออะไร นอกจากความใจสู้ (ที่ทีมอื่นก็สู้เหมือนกัน)
สิ่งไหนแน่คือ "จุดเด่น" ที่จัดเป็นข้อได้เปรียบของ อังกฤษ เหนือทีมอื่นๆ สำหรับเป้าหมายครองแชมป์ ยูโร 2024
จากเกมนี้ ยังมองไม่เห็น... แม้จะพอเข้าใจได้ว่าเป็นเกมทดสอบแข้งสำรองเท่านั้น ก็ตาม