เยอรมนี 1-1 สวิตเซอร์แลนด์ : เก็บตกหลังเกม ยูโร 2024 เจ้าภาพเร่งเครื่องทวงประตูทดเจ็บเข้าป้ายแชมป์กลุ่มเอ - FEATURE
• ซึ่งทำให้ 3 นัดเก็บ 7 แต้ม ลอยลำเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม
• และนี่คือหลายๆ สิ่งที่พอมองเห็นได้จากเกมรอบแรก นัดสุดท้าย กลุ่มเอ ยูโร 2024 แมตช์นี้
รายการ: ฟุตบอล ยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มเอ นัดที่ 3
วันแข่งขัน: วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2567
สนาม: วัลด์สตาดิโอน, แฟร้งค์เฟิร์ต
ผลการแข่งขัน : สวิตเซอร์แลนด์ 1-1 เยอรมนี
ไม่แม้แต่ตัวเดียว
อย่างที่ทราบกันดี เยอรมนี ตีตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูโร 2024 ได้เป็นทีมแรกของรายการ จากฟอร์มสุดยอดในเกมถลุง สกอตแลนด์ 5-1 ซึ่งต่อเนื่องด้วยการสยบ ฮังการี 2-0
เข้ารอบไปก่อนแล้ว ที่เหลืออยู่มีเพียงว่า อินทรีเหล็ก ของ ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ จะคว้าแชมป์กลุ่มได้หรือไม่
ซึ่งก็คงด้วยเหตุผลนี้ ที่ทำให้ นาเกิลส์มัน c น์ ไม่เปลี่ยนทีม 11 คนแรกเลย...แม้แต่จุดเดียว
มานูเอล นอยเออร์ เฝ้าเสา คู่เซนเตอร์แบ็กเป็น โจนาธาน ทาห์ กับ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ แบ็กซ้ายขวาใช้ มักซิมิเลียน มิทเทลสตัดท์ - โยชัว คิมมิช ตรงกลางมี โทนี่ โครส เป็นตัวออกบอล จับคู่ตัวตัดเกมอย่าง โรเบิร์ต อันดริช ส่วนเกมรุกวาง ฟลอเรียน เวียร์ตซ์, อิลคาย กุนโดกัน (กัปตันทีม) และ จามาล มูเซียล่า เดินเครื่องหลังหน้าเป้า ไค ฮาแวร์ตซ์
อันที่จริง ถ้าบุนเดสเทรนเนอร์จะเลือกปรับสัก 3-4-5 จุด ก็ไม่น่าเกลียด เช่นว่าประตูให้ มาร์ก อันเดร แทร์ สเตเก้น ได้ลงยืดเส้นยืดสายบ้าง หรือหลังบ้านหย่อน นิโก้ ชล็อตเตอร์เบ็ค ลงมา ตรงกลางพักคีย์แมนอย่าง โทนี่ โครส เอาไว้รอเล่นรอบหน้า (ปาสกาล โกรสส์ หรือ เอ็มเร่ ชาน ก็น่าแทนได้) หรือเกมรุกจะปรับส่ง โธมัส มุลเลอร์ หรือ นิคลาส ฟุลล์ครุก ลงตัวจริงบ้าง ก็ล้วนแต่ดูว่า เยอรมนี ไม่น่ามีมาตรฐานผิดไปจากเดิมแต่อย่างใด
แต่เมื่อ 11 คนแรกมาชุดเดิมเปี๊ยบแบบนี้ ก็หมายความเป็นอื่นไม่ได้นอกจาก นาเกิลส์มันน์ ยังคงเน้นให้ความสำคัญกับเกม และต้องการชัยชนะในวันนี้ เพื่อยึดแชมป์กลุ่มให้จงได้
1-0 ที่ไม่มา
หวิดจะตามรอยเกมแรก (น.10) และเกมสอง (น.22) สำหรับวันนี้ ที่ โรเบิร์ต อันดริช สับเปรี้ยงตุงตาข่ายตั้งแต่นาทีที่ 16
ที่จริง บอลจากเท้ากลางรับสังกัด ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ก็ไม่ได้รุนแรงนัก แต่เผอิญเด้งพื้นได้องศาพอดี และ ยานน์ ซอมเมอร์ ก็ดูพลาดเล็กๆ ที่ปัดป้องไว้ไม่สำเร็จ จนลูกเสียบเสาเข้าไปดื้อๆ
แต่ก่อนที่สาวกอินทรีเหล็กจะฉลองกันเต็มเสียง ก็ถูกเบรคไว้ก่อนด้วยการเดินออกจากสนามมาเช็กจอ VAR ของผู้ตัดสินอิตาเลียน ดานิเอเล่ ออร์ซาโต้
และเรียบร้อย... 1-0 ถูกริบไปเมื่อ ออร์ซาโต้ ลงความเห็นจังหวะ จามาล มูเซียล่า เข้าปะทะกับกองหลังสวิสส์ ก่อนที่บอลจะมาถึง อันดริช นั้น เป็นลูกฟาวล์
แม้ในอีกมุมจะสามารถมองได้ว่า จังหวะเข้าแท็กของ มูเซียล่า มันเกิดขึ้นหลังจากที่คู่แข่งได้เคลียร์ลูกออกไปแล้วมากกว่า แต่เมื่อผู้ตัดสินประเมินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดประตู ก็ต้องยอมรับคำตัดสินไปตามนั้น
ตลกร้ายก็คือ เมื่อไม่ได้ก็เสียประตูเลย
สวิตเซอร์แลนด์ ขึ้นนำ เยอรมนี 1-0 ในนาทีที่ 30
VAR แสบซ้ำซ้อน
น่าสนใจมากกับจังหวะเข้าชาร์จของ แดน เอ็นดอย เป็นประตูนำ 1-0 ของ สวิตเซอร์แลนด์ ในนาทีที่ 28
เพราะจากภาพช้า บอลเปิดจาก เรโม่ ฟรอยเลอร์ ที่ฝั่งซ้าย "ดูเหมือนว่า" กองหน้าวัย 23 จาก โบโลญญ่า จะมีส่วนที่เหลื่อมจากกองหลังเยอรมันตัวสุดท้ายอยู่
ต้องใช้เวลาร่วม 5 นาที กว่าที่แฟนๆ จะได้ทราบชัดว่าจังหวะนี้ ไม่ล้ำหน้า
เมื่อภาพจำลองของ VAR แสดงให้เห็นว่า การยืดขาพยายามสกัดลูกเปิดจาก ฟรอยเลอร์ ของ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กลายเป็นการทำให้เท้าของ รูดิเกอร์ ยื่นมาเลยจุดยืนของ แดน เอ็นดอย พอดิบพอดีในเสี้ยววินาที
เป็นอันว่า 1-0 โดยไม่ล้ำหน้า
เรียกว่าวันนี้ เยอรมนี โดน VAR ทำแสบ 2 รอบแล้วในเพียงครึ่งชั่วโมง
และเป็นเรื่องต้องจับตาว่าเมื่อต้องเป็นฝ่ายตามหลังแล้ว เยอรมนี จะมีวิธีการอย่างไรหลังจากนี้
กำแพงสีแดง
ตั้งใจลงมาตั้งรับรอสวนอยู่แล้ว และเมื่อ สวิตเซอร์แลนด์ กลายเป็นฝ่ายขึ้นนำ 1-0 ได้ ก็ยิ่ง "เข้าตำรา"
แม้โอกาสถัดมาหลังจากสวิสส์ออกนำ 1-0 แล้ว แดน เอ็นดอย จะได้สับไกต่อเนื่องจนเกือบเป็นเม็ดสอง กับลูกที่ถากเสาออกแค่คืบ
แต่ว่าหลังจากนั้น สิบกว่านาทีท้ายครึ่งแรก คือการพับสนามบุกของ เยอรมนี
และภาพเดียวกันนั้นก็คือการถอยร่น ตั้งกำแพงรับเต็มพิกัดของขุนพลเสื้อแดง
ในหลายจังหวะ สวิสส์ ทิ้ง บรีล เอ็มโบโล่ ไว้บนสุดเพียงคนเดียว นอกนั้นถอยต่ำทั้งทีม
ต้องเป็นตอนต้นครึ่งหลัง ที่ เยอรมนี เริ่มหาช่องเจาะเข้าเจอ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ แทงสวยๆ ให้ จามาล มูเซียล่า หลุดเข้ากระหน่ำเต็มข้อ น.50 แต่ก็ไม่ผ่านเซฟ ยานน์ ซอมเมอร์ (และ อิลคาย กุนโดกัน ซ้ำบอลที่เด้งออกมาไม่สำเร็จ)
ก็คงต้องชมเชยแนวรับสวิสส์ทุกราย โดยเฉพาะ มานูเอล อคานจี ที่มาดีเหลือเกินในวันนี้
จนแล้วจนรอด
เรียกว่าตลอดเกมหลังจากนั้น เยอรมนี เป็นฝ่ายบุกเข้าใส่ นานๆ ที สวิตเซอร์แลนด์ ถึงจะเอาบอลไปทำเกมได้ แต่ก็ครอบครองไว้ไม่ได้นานนัก
ไค ฮาแวร์ตซ์ มีโอกาสขึ้นโขกโล่งๆ ช่วงนาที 68 แต่คุมบอลไม่อยู่ สูงข้ามออกไป
นาที 70 เป็นโอกาสทองฝังเพชร โยชัว คิมมิช เติมสูงจนได้ยิงจากมุมกรอบ 6 หลา แต่กดไม่ผ่านตัวบล็อก มานูเอล อคานจี
นาที 84 สวิสส์ได้เฮรับอีกประตู รูเบน วาร์กาส ทะลุเข้าไปยิงสวนตัว มานูเอล นอยเออร์ เข้าเสาสอง แต่งานนี้ไม่ต้องพึ่ง VAR เมื่อมีธงล้ำหน้าขึ้นแต่แรก
นาที 89 กรานิต ชาก้า ตะบันด้วยซ้ายไม่จับ บอลเลี้ยวจะเข้าเสียบเสา แต่ นอยเออร์ ยังสปริงตัวปัดทิ้งไว้ได้
ผ่าน 90 นาที สวิตเซอร์แลนด์ ยังคงนำ 1-0
แต่อีกแวบ 90+2 ประตูที่ เยอรมนี ตามหา ก็มาจนได้...
ผลที่ออก...
- เกมแรก ยิงได้ 1 ประตูจากโอกาสจบ 2 ครั้ง (ตรงกรอบ 1) พร้อมทำ 1 แอสซิสต์
เกมสอง ไร้สกอร์จากโอกาสจบ 1 ครั้ง (ตรงกรอบ 1)
เกมสาม วืดไปวาดมาจากโอกาสจบ 6 ครั้ง (ตรงกรอบ 1)
ทั้งหมดนั่นคือผลงานของ ไค ฮาแวร์ตซ์ ในฐานะหอกเป้าฟอลส์ไนน์ของ เยอรมนี ตลอดสามเกมแรกของ ยูโร 2024
ส่วนนี่ คือผลงานของ "หอกสำรอง" อย่าง นิคลาส ฟุลล์ครุก
- เกมแรก ลงสนามนาที 63 ยิงได้ 1 ประตูจากโอกาสจบ 1 ครั้งถ้วน
เกมสอง ลงสนามนาที 58 ไร้สกอร์จากโอกาสจบ 1 ครั้งถ้วน
เกมสาม ลงสนามนาที 76 ยิงได้อีก 1 ประตูจากโอกาสจบ 1 ครั้งถ้วน
สำคัญสุดคือเกมล่าสุดนี้ ซึ่งจัดลูกโขกเสียบตาข่ายงามๆ ที่ส่งให้ เยอรมนี ยึดแชมป์กลุ่มเอได้ตามเป้าหมาย
ระหว่าง ฮาแวร์ตซ์ กับ ฟุลล์ครุก ผลงานก็เห็นประจักษ์แก่ตากันอยู่ ฉะนั้นคงขึ้นอยู่กับ นาเกิลส์มันน์ แล้วว่าจะเอาอย่างไรกับเกมถัดๆ ไป
เพียงแต่ก็อยากเรียนย้ำให้คุณบุนเดสเทรนเนอร์ได้รับทราบ
ว่า อาร์เจนติน่า เปลี่ยนกองหน้าระหว่างทัวร์นาเมนต์ (ฮูเลียน อัลวาเรซ แทน เลาตาโร่ มาร์ติเนซ) จนได้แชมป์โลกมาแล้วนะครับ!
ใครก็มาเห๊อะ
สุดท้าย เมื่อเกมจบที่ 1-1 เท่ากับ เยอรมนี ยึดแชมป์กลุ่มเอ
จากนั้น ในอีกคู่ซึ่งทดเจ็บนานถึง 10 นาที (เมื่อมีเหตุการณ์ บาร์นาบาส วาร์ก้า หมดสติจากศีรษะฟาดพื้น) และ ฮังการี มาได้ประตูชัยสุดดราม่าจาก เควิน โซบอธ 90+10 ก็ทำให้บทสรุปของกลุ่มเอ มีดังนี้
อันดับ | แต้ม | ผลต่าง |
---|---|---|
1. เยอรมนี | 7 | +6 |
2. สวิตเซอร์แลนด์ | 5 | +2 |
3. ฮังการี | 3 | -3 |
4. สกอตแลนด์ | 1 | -5 |
ที่ต้องดูต่อคือ 3 แต้ม (และผลต่างประตู -3) ของ ฮังการี จะดีพอหรือไม่ให้เป็น 1 ใน 4 ทีมอันดับ 3 ที่ได้เข้ารอบน็อกเอาต์
ส่วน สวิตเซอร์แลนด์ เตรียมพบกับ "รองแชมป์กลุ่มบี" ซึ่งตามรูปทรง มีโอกาสสูงจะได้เป็น อิตาลี
ด้านเจ้าภาพ เยอรมนี นั้น ในฐานะแชมป์กลุ่ม ก็จะได้พับกบ "รองแชมป์กลุ่มซี" ที่ ณ ตอนนี้ยังมีความเป็นไปได้หมดทั้ง เดนมาร์ก, สโลวีเนีย หรือ เซอร์เบีย
หรือก็ยังมีความเป็นไปได้ด้วยเหมือนกันที่หวยจะออก อังกฤษ
ซึ่งถ้าเป็น อังกฤษ จริง... อังกฤษ ที่ฟอร์มดูแทบไม่ได้อย่าง 2 เกมแรก
นาเกิลส์มันน์ อาจอยากกระซิบเป็นภาษาไทย "เตะพรุ่งนี้เลยก็ได้นะ" พร้อมเสมอ ไม่ต้องพักก็ไหว ฮ่า...