ลิเวอร์พูล 1-1 อาร์เซนอล : สรุปประเด็นหลังเกม พรีเมียร์ลีก ปืนใหญ่ บุกยันเสมอ หงส์ รั้งจ่าฝูงต่อไป

• อาร์เซนอล ไม่ชนะลิเวอร์พูลในการมาเล่นทีมเยือนนับตั้งแต่ฤดูกาล 2012-2013

• ลิเวอร์พูล ได้เพียง 2 คะแนนจาก 2 เกมหลังสุดในรังเหย้าของตัวเอง
Liverpool FC v Arsenal FC - Premier League
Liverpool FC v Arsenal FC - Premier League / Chris Brunskill/Fantasista/GettyImages
facebooktwitterreddit

รายการแข่งขัน : พรีเมียร์ ลีก 2023-2024
วันแข่งขัน: วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2023
สนามแข่งขัน: แอนฟิลด์
ผลการแข่งขัน: ลิเวอร์พูล 1 - 1 อาร์เซนอล


อาร์เซนอลรั้งจ่าฝูงต่อไปก่อนเข้าวันคริสต์มาส แม้จะยังคงไม่ชนะที่แอนฟิลด์ต่อไปอีกหนึ่งเกมเป็นฤดูกาลที่ 11 ติดต่อกันในพรีเมียร์ ลีก

หงส์ไร้ชัยรังเหย้าสองเกมติด ปืนใหญ่ผ่านเกมเยือนสุดยากสองสนามติด

Mohamed Salah, Oleksandr Zinchenko
Liverpool FC v Arsenal FC - Premier League / MB Media/GettyImages

เป้าหมายของอาร์เซนอลในเกมนี้ พวกเขาหมายมั่นปั้นมือในการที่จะมาปลดล็อคชัยชนะในแอนฟิลด์ให้ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี อย่างไรก็ตามหลังจบเกมนี้ ลูกทีมของมิเคล อาร์เตต้า แม้จะได้เพียงหนึ่งคะแนน แต่ก็นับว่ามากพอกับการทำให้อันดับตารางคะแนนไม่เปลี่ยนแปลง ในรูปเกมตลอด 90 นาที ที่ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล ได้ “โมเมนตัม” ของเกม และทำได้ดีกว่า โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่ อาร์เซนอล ได้ “เทพีแห่งโชค” เคียงข้างพวกเขา จากจังหวะสำคัญที่ถูกสวนกลับในแบบ 5:1 และจบลงด้วยการยิงชนคานของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

ลิเวอร์พูล พลาด 4 จาก 6 คะแนนเต็มในรังเหย้าของตัวเองด้วยการเสมอสองเกมติดต่อกันในรูปเกมที่เหนือกว่าคู่แข่งทั้งสองครั้ง แต่ความไม่เฉียบคม และการขาดโชคไปบ้าง ทำให้พวกเขาเสียโอกาสในการครองจ่าฝูง ขณะที่ อาร์เซนอล ได้ 1 คะแนนจากเกมเยือน 2 เกมหลังสุด ที่ต้องเจอทั้งกับแอสตัน วิลล่า และลิเวอร์พูล สองทีมที่ลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงแชมป์ลีกด้วยกันในฤดูกาลนี้

ลิเวอร์พูลในเกมนี้เป็นอีกเกมที่พวกเขาเสียประตูไปก่อน และก็เป็นอีกเกมที่พวกเขาทำให้เห็นว่าพวกเขาสามารถกลับมาสู่เกมได้ด้วยการเล่นที่มีการเคลื่อนที่อย่างมีวินัย และขึงเกมรุกได้อย่างโหดร้าย หากพวกเขาได้โมเมนตัมของเกมมาครอบครอง

การเสียประตูของลิเวอร์พูล เกิดจาก “ความผิดพลาดส่วนบุคคล” ในการเช็คล้ำหน้าช้าไปเพียงเสี้ยววินาที และกลายเป็นเสียประตูจากลูกเซตเพลย์ ขณะที่ อาร์เซนอล เสียประตูจากเรื่องเดียวกันของ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ พลาดปล่อยให้ โม ซาลาห์ ได้มีจังหวะยิงประตูตีเสมอ

Gabriel
Liverpool FC v Arsenal FC - Premier League / Michael Regan/GettyImages

ขณะที่ “โมเมนตัม” ที่เป็นตัวชี้วัดว่าทีมไหนจะสามารถควบคุมจังหวะเกมทั้งหมด เป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ทำได้ดีกว่าชัดเจนใน 45 นาทีหลัง ไม่เพียงแต่เกมรุกสามารถขึงเกมรุกเข้าใส่ได้ และทำให้อาร์เซนอล ถูกบีบให้เล่นเกมตั้งรับ และรอจังหวะสวนกลับเท่านั้น เพียงแต่เกมนี้ทุกอย่างลงตัว ขาดเพียง “ประตู” เท่านั้นที่ไม่เกิดขึ้นใน 45 นาทีหลัง


สมาธิในเกมรับและการทำงานเป็นทีมของอาร์เซนอล

สิ่งที่ทำให้อาร์เซนอลรอดพ้นความพ่ายแพ้ในเกมนี้ นอกจากเรื่องของโชคช่วยในจังหวะที่น่าจะเสียประตูกลับรอดพ้นมาได้ก็คือเรื่อง “สมาธิ” ในเกมรับที่ช่วยกันอย่างหนักในการป้องกัน และการปรับแผนของลิเวอร์พูลในช่วงท้ายเกมที่เข้าทางการเล่นเกมรับของพวกเขา โดยเฉพาะในช่วงที่เสียประตูตีเสมอ พวกเขาไม่เสียกระบวนทัพจนพลาดเสียประตูเพิ่ม

Mohamed Salah, Oleksandr Zinchenko
Liverpool FC v Arsenal FC - Premier League / Michael Regan/GettyImages

หลังจบเกม โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ถูกวิจารณ์อย่างหนักกับผลงานเกมรับที่นอกจากจะมีส่วนพลาดเสียประตู จากการโดนวางบอลยาวให้เจอกับสถานการณ์ดวลตัวตัวต่อกับ ซาลาห์ ก่อนจะโดนแตะหลบเข้าไปยิงประตู แบ็คชาวยูเครนแทบไม่สามารถหยุดยั้ง ซาลาห์ ได้ในสถานการณ์ลักษณะดังกล่าวได้เลย ซินเชนโก้ เป็นกองกลางที่ปรับมาเล่นแบ็ค เขามีจุดเด่นในการเล่น Invert Full Back ที่ต้องบอกว่าเป็นคนแรกที่ทำให้ อาร์เตต้าใช้ระบบการเล่นแบบนี้ แต่ปัญหาของเขาคือเกมรับที่ไม่ใช่จุดเด่น เมื่อต้องมาเจอกับ โม ซาลาห์ ที่เรียกว่า “เบอร์ต้น” ของตัวรุกในพรีเมียร์ ลีก นี่คืองานที่โหดที่สุดสำหรับเขา ในวันที่ทีมไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก เมื่อทั้ง ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ และ ยูเรี่ยน ทิมเบอร์ สองกองหลังที่น่าจะเล่นเกมรับได้ดีกว่ากลับไม่พร้อมจะลงเล่นทั้งคู่ ซินเชนโก้ ผลงานในเกมรับด้อยที่สุดในผู้เล่นเกมรับทีมเยือน

สิ่งที่ทำให้ทีมรอดพ้นมาได้คือเรื่องของ “ความเป็นทีม” ที่อาร์เซนอล ปรับให้กองกลางลงมาช่วย และระแวดระวังไม่ให้เกิดสถานการณ์ 1:1 ระหว่างทั้งสองคน แม้จะผิดพลาดก็ยังแก้ไขได้ทัน รวมถึงช่วงท้ายเกมที่ ลิเวอร์พูล มีการปรับตำแหน่งให้ ซาลาห์ เข้าไปเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า อาร์เซนอล ก็ทำได้ดีในการตัดสินใจเลือก วิลเลี่ยม ซาลิบา เข้ามาตามประกบซาลาห์โดยตรง และนั่นลดทอนความอันตรายของราชาอียิปต์ลงไปได้มากจนกระทั่งจบเกม

William Saliba, Joe Gomez
Liverpool FC v Arsenal FC - Premier League / Chris Brunskill/Fantasista/GettyImages

ขณะที่ทางฟากฝั่งของ เบน ไวท์ ในการดวลกับ หลุยส์ ดิอาซ รวมถึง ดาร์วิน นูนเญส ก็ไม่ใช่งานที่ง่ายเลย เมื่อทีมต้องถูกบีบให้ตั้งรับมากกว่าตั้งเกมบุก การขึ้นไปช่วย ซาก้า เล่นเกมรุกแทบไม่มี หลายเพลย์เป็นการเล่นเพื่อเอาตัวให้รอดในสถานการณ์หน้างาน อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนที่สามารถตัดบอลในเกมรุกคู่แข่งมากที่สุดในทีมปืนใหญ่ โดยทำได้ถึง 4 ครั้ง

ตรงกันข้ามกับ ลิเวอร์พูล กับการได้ “โมเมนตัม” ของเกมใน 45 นาทีสุดท้ายมาอยู่ทางฝั่งตนเอง ยังเป็นการช่วยทีมได้ในจังหวะเกมรับลดภาระการทำงานของฟูลแบ็คสองข้างที่เจอกับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ บูคาโย่ ซาก้า ปีกตัวอันตรายของอาร์เซนอลที่ปั่นป่วนพวกเขามากในช่วง 45 นาทีแรก ให้ได้บอลน้อยลง ลำบากมากขึ้นในทุกจังหวะ และพวกเขาก็ใช้แท็คติกคล้ายคลึงกับอาร์เซนอล ในการเลือกใช้กองกลางลงมาทำงานร่วมกันกับแบ็คเพื่อหยุดยั้งเกมรุกอาร์เซนอล และในเวลาเดียวกัน เกมรุกก็ยังได้ตัวหนุนจากแนวรับเข้ามาเล่นร่วมกันด้วย ครึ่งหลังเราจึงได้เห็นการดันขึ้นสูงของ โจ โกเมซ หลายต่อหลายครั้ง เช่นเดียวกับการวางบอลของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์  ทั้งจากในตำแหน่งฟูลแบ็ค หรือในการเล่นจากพื้นที่แดนกลาง

ทั้งนี้เป็นอีกเกมที่ ดีแคลน ไรซ์ แสดงให้เห็นว่าทำไม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ถึงประเมินราคาของเขาไว้ถึง 100 ล้านปอนด์ และยิ่งเล่น ยิ่งเป็นเป็นการลงทุนที่ “ถูกตัว” มากขึ้นเรื่อย ๆ ของอาร์เซนอล กับการทำงานในเกมนี้ที่เน้นในพื้นที่เกมรับถึงบริเวณกลางสนาม หน้าที่ในเกมรับโดดเด่นมาก ไม่น้อยไปกว่า วิลเลี่ยม ซาลิบา และ กาเบรียล ที่ทำให้พวกเขาไม่ถูกเกมบุกของลิเวอร์พูล โหมจนจมดินแบบหลายเกมที่ผ่านมา ทีมยังสามารถตั้งเกมสวนกลับขึ้นไปได้ลุ้นประตูเรื่อย ๆ หนึ่งคะแนนในวันนี้คือรางวัลตอบแทนแห่งความพยายาม และทำงานกันเป็นทีม ขณะที่ ลิเวอร์พูล ได้แต่เสียดายโอกาสที่หลุดลอยไปหลายครั้งโดยเฉพาะจังหวะการยิงชนคานที่น่าจะเป็นเพลย์ที่ถูกพูดถึงไปอีกหลายวัน


มาตรฐานการเล่นที่ใกล้เคียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

ลิเวอร์พูล ในยุคของเยอร์เก้น คล็อปป์ เป็นช่วงเวลาที่น่าอภิรมย์สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลทุกคน พวกเขาได้แชมป์หลายรายการ และครบทุกรายการตลอดเส้นทางอาชีพที่นี่ของกุนซือเยอรมัน ลิเวอร์พูล กับการเล่นในแอนฟิลด์ เป็นเสมือนปราการเหล็กที่แข็งแกร่ง พวกเขาสร้าง “แอนฟิลด์” ให้เป็น “แอนฟิลด์” ในแบบที่เคยเป็นในช่วงทศวรรษที่ 80 “เครื่องจักรสีแดง” ที่พร้อมท้าชนทุกทีมที่เข้ามาเยือนพวกเขา บรรยากาศของสนามแห่งนี้ สมกับคำยกย่องที่ว่าเป็นหนึ่งในสนามที่บรรยากาศดีที่สุดในวงการฟุตบอล

Juergen Klopp
Liverpool FC v Arsenal FC - Premier League / Michael Regan/GettyImages

อาร์เซนอล ผ่านช่วงเวลาหฤโหดมากกว่า 1 ทศวรรษในการเป็นหนี้สนามที่ทำให้ต้องเสีย “อำนาจ และบารมี” ของการเป็นทีมลุ้นแชมป์ สู่การเป็นเพียงทีมลุ้นพื้นที่ยุโรป นานหลายปี การเข้ามาของมิเคล อาร์เตต้า เข้าสู่ปีที่สี่แล้ว ทีมชุดนี้มองแล้วมีความคล้ายกับลิเวอร์พูลของ คล็อปป์ อยู่ไม่น้อย พวกเขาสร้างทีมจากวันที่อยู่ในช่วงที่ตกต่ำมาจนถึงวันที่กลับมาสู่จุดที่พวกเขาต้องการจะไปให้ถึง การเล่นใน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมของอาร์เซนอล ไม่เคยแข็งแกร่งมากเท่านี้มาก่อน นับตั้งแต่ขึ้นปี 2010 เป็นต้น และแน่นอนว่า อาร์เซนอล คาดหวังถึงการกลับมาสู่บัลลังก์แห่งการเป็นแชมป์ที่รอคอยมานาน 2 ทศวรรษ เฉกเช่นเดียวกับที่ลิเวอร์พูล ปลดล็อคได้แล้วในปี 2020 กับการคว้าแชมป์ลีก นี่คือสองทีมที่อยู่ร่วมเส้นทางเดียวกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

เกมนี้ ลิเวอร์พูล อาจจะเหนือกว่า มีโอกาสน่าชนะมากกว่า แต่จบเกม อาร์เซนอล ไม่แพ้กลับออกไป และมีโอกาสเกือบชนะเนือง ๆ นั่นสามารถมองถึงได้ว่า มาตรฐาน ของพวกเขาทั้งสองทีมจาก 4 ปีที่แล้วมาถึงวันนี้ ระยะห่าง ใกล้เคียงมากขึ้นเรื่อย ๆ อาร์เซนอล ในวันที่เปิดบ้านของตัวเองเจอกับ ลิเวอร์พูล พวกเขาจะทำได้ดีแค่ไหน นั่นคือบทพิสูจน์ที่แฟนบอลทั้งสองทีมต่างรอคอยจนกว่าจะพบกันอีกครั้ง