ลิเวอร์พูล 4-1 เชลซี : เก็บตกหลังเกม พรีเมียร์ลีก นัดหงส์สยายปีก เปิดบ้านถล่มสิงห์ไม่เหลือชิ้นดี - FEATURE
• ลิเวอร์พูล เหนือกว่า เชลซี คนละเรื่องคนละชั้น แบบที่ถ้านายประตูตราสิงห์ไม่เซฟช่วยไว้ หงส์มีชนะขาด 6-7 เม็ดไปแล้ว
• และนี่อาจเป็นภาพจำลองก่อนการซัดกันในนัดชิง คาราบาว คัพ
รายการ: ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก 2023/24
วันแข่งขัน: วันพุธที่ 31 มกราคม 2567
สนาม: แอนฟิลด์
ผลการแข่งขัน: ลิเวอร์พูล 4-1 เชลซี
7 เกมกินกันไม่ลง
ถือเป็นเกมแปลกประหลาด ที่ถัดจาก เชลซี บุกชนะถึงแอนฟิลด์ 1-0 ด้วยประตูโทนของ เมสัน เมาท์ ช่วงต้นปี 2021 แล้ว ศึกระหว่างหงส์กับสิงห์ถัดจากนั้น...
- ส.ค. 2021 เสมอ 1-1
ม.ค. 2022 เสมอ 2-2
ก.พ. 2022 เสมอ 0-0 (ลิเวอร์พูล ชนะจุดโทษ 11-10 คาราบาว คัพ)
พ.ค. 2022 เสมอ 0-0 (ลิเวอร์พูล ชนะจุดโทษ 6-5 เอฟเอ คัพ)
ม.ค. 2023 เสมอ 0-0
เม.ย. 2023 เสมอ 0-0
ส.ค. 2023 เสมอ 1-1
ยิงกันไม่ได้เลยใน 2 เกมซีซั่นที่แล้ว ซึ่งต่อเนื่องมาจาก 0-0 ในนัดชิงชนะเลิศของบอลถ้วย 2 รายการ ขณะที่เกมเปิดสนามซีซั่นนี้ ลิเวอร์พูล เจาะประตูนำได้ก่อนจาก หลุยส์ ดิอาซ น.18 แต่ เชลซี ก็ฮึดขึ้นเร็ว ทวงคืน 1-1 จาก อักเซล ดิซาซี่ น.37 ส่วนครึ่งหลังไม่มีการยิงกันเพิ่ม
เสมอกันมา 7 นัด เกมที่แอนฟิลด์คืนนี้--ซึ่งคงเป็นหนสุดท้ายของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในการเปิดบ้านดวล เชลซี จึงถูกจับตามองเป็นพิเศษจากหลายฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ทิศทางก่อนเกมนี้ เทไปทาง ลิเวอร์พูล มากกว่าค่อนข้างชัด โดย OPTA Analyst ประเมินโอกาสไว้ว่า ลิเวอร์พูล มีสิทธิ์ชนะถึง 54.9% ส่วน เชลซี มีสิทธิ์ได้เฮแค่ 19.5% เท่านั้น
ไลน์อัพคาดเดาได้
บางที อาจต้องใช้คำว่า "จนป่านนี้" ทั้ง เยอร์เก้น คล็อปป์ และ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ก็ยังไม่อาจใช้งานนักเตะชุดที่ดีที่สุดของตัวเองได้เลย ด้วยปัญหาบาดเจ็บของหลายๆ นักเตะที่เกาะกุมสลัดไม่ออกมาตั้งแต่เริ่มต้นซีซั่น
ตัวเจ็บของ ลิเวอร์พูล ที่ไม่พร้อมเล่นนัดนี้ มีหน้าเดิมๆ อย่าง โจเอล มาติป, สเตฟาน บายเซติช, ติอาโก้ อัลกันตาร่า, คอสตาส ซิมิกาส และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในขณะที่ วาตารุ เอ็นโด ยังคงต้องไปต่อใน เอเชียน คัพ 2023
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน อาจฟิตกลับมาแล้ว แต่ยังชิงตำแหน่งกลับไปจาก โจ โกเมซ ไม่ได้ เช่นเดียวกับอีกฝั่ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ต้องนั่งสำรองให้กับเด็ก 20 อย่าง คอนเนอร์ แบร๊ดลี่ย์
เท่ากับคู่ฟูลแบ็กสำรอง โกเมซ - แบร๊ดลี่ย์ ได้เล่นตัวจริงต่อเนื่องมา 5 เกมติดกันแล้ว
สำหรับเกมรุกที่ยังไร้ ซาลาห์ (และคาดว่าคงไม่มีไปอีกพัก) เป็นแผง ดาร์วิน นูนเยซ - ดีโอโก้ โชต้า - หลุยส์ ดิอาซ โดยมี โคดี้ กัคโป นั่งสำรอง
ฝั่ง โปเช็ตติโน่ ก็ยังขาดทั้ง เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, รีซ เจมส์, มาร์ก กูกูเรย่า, โรมิโอ ลาเวีย, โรเบิร์ต ซานเชซ, เลสลี่ย์ อูโกชุควู, เทรโวห์ ชาโลบาห์ รวมถึง ลีวาย โคลวิลล์ และทาง นิโคลัส แจ๊คสัน ที่แม้จะหมดภารกิจกับ เซเนกัล (ตกรอบ 16 ทีมแพ้จุดโทษ ไอวอรี่โคสต์) แล้ว แต่ยังเร็วไปนิดในการคืนทีม
11 คนแรกของ เชลซี วันนี้ เปลี่ยนจากเกมเสมอ แอสตัน วิลล่า 0-0 เมื่อศุกร์ที่แล้ว แค่ 1 ตำแหน่งถ้วน คือกัปตันทีม เบน ชิลเวลล์ ลงตัวจริงแทนที่ อัลฟี่ กิลคริสต์ และโยก อักเซล ดิซาซี่ กลับไปที่แบ็กขวา
เกมรุก แม้ว่า โคล พาลเมอร์ จะแสดงให้เห็น 2-3-4 ครั้งแล้วว่า "หน้าเป้า" ฟอลส์ไนน์ ไม่ใช่ตำแหน่งถนัด แต่ก็ยังถูกใช้งานตรงนี้ต่อเนื่อง โดยมี ราฮีม สเตอร์ลิ่ง - คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ - โนนี่ มาดูเอเก้ เป็นตัวสนับสนุนเกมรุก
แต่วันนี้ 'ไม่เหมือนเดิม'
แม้ทิศทางจะเอียงข้าง ลิเวอร์พูล ค่อนข้างชัดก่อนเกม
แต่ก็คงยากที่ใครจะคาดเดาได้ออก ว่า ลิเวอร์พูล จะ "ข่มขาด" เชลซี ในรูปเกมที่เกิดขึ้นจริงของวันนี้
เหนือกว่าบานเบอะ และยังเจาะเข้าโดยไม่ต้องรอนานนัก กับจังหวะทะลุทะลวงผ่าน ติอาโก้ ซิลวา - เบอนัวต์ บาเดียชิล ไปดื้อๆ ของ ดีโอโก้ โชต้า เพื่อเช็คบิลผ่าน ยอร์เย่ เปโตรวิช ในนาที 23
แนวรับ เชลซี ต้องปวดหัวอย่างหนักกับการรับมือพลังรุกหงส์แดง โดยเฉพาะ ดาร์วิน นูนเยซ ที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน...ดีหน่อยว่าหอกอุรุกวัย ไม่ได้พกมีดโกนลงสนาม ก็เลย "ไร้คม" เหมือนเช่นเคย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปโดยที่ ลิเวอร์พูล สร้างโอกาสจบสกอร์รวม 12 ครั้ง ตรงกรอบ 5 ส่วน เชลซี ยังเป็น 0 ทั้งโอกาสยิงและยิงตรงกรอบ
นาที 39 เป็น "แบร๊ดลี่ย์โชว์" ในเสี้ยววินาทีที่ เบน ชิลเวลล์ วิ่งชนกับ โชต้า จนล้มลงเปิดพื้นที่แบ็กซ้ายกว้างเป็นทุ่ง ก็เสร็จ คอนเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ แบ็กขวาวัย 20 กระชากขึ้นหน้าไปส่องเสียบเสาอย่างสุดงามเป็น 2-0
ท้ายครึ่งแรก เชลซี สร้างโอกาสยิงหนแรกได้จากการส่องของ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ ที่เข้ามือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ไม่ยากเย็น ซึ่งเกิดขึ้นให้หลังจากจุดโทษของ ลิเวอร์พูล ที่ ดาร์วิน นูนเยซ กดเน้นๆ ไปกระแทกเสาเต็มๆ
เท่ากับแม้จะไม่ได้ 3-0 แต่ ลิเวอร์พูล ก็ "ขึ้นแท่น" ผู้ชนะแล้วตั้งแต่หมด 45 นาทีแรก ด้วยความเหนือกว่าทุกรูปแบบ ตีออกเป็นสถิติตัวเลขได้ดังนี้
- ครองบอล - ลิเวอร์พูล 54 : 46%
โอกาสยิง - ลิเวอร์พูล 15 : 1
ยิงตรงกรอบ - ลิเวอร์พูล 6 : 1
เตะมุม - ลิเวอร์พูล 4 : 0
ดาร์วิน นูนเยซ
- 1. ทักทายหนแรกด้วยการสับไกนาทีที่ 6 ไม่ผ่านมือ ยอร์เย่ เปโตรวิช
2. ทะลุเข้าซัดนาทีที่ 8 ติดปลายมือ เปโตรวิช เฉี่ยวคานบนออกหลัง
3. ยิงไกล น.14 กดหลุดเสาไปเอง
4. ตะบันติดบล็อกกองหลัง น.15
5. หลุดเดี่ยวไปฮาล์ฟวอลเลย์ด้วยซ้าย ยังติดเซฟ เปโตรวิช ไปชนเสาออกหลัง
6. ลอยตัวซัดกลางอากาศ ข้ามออกไป
7. จุดโทษทดเจ็บครึ่งแรก กดกระแทกเสาอย่างจัง
8. ต้นครึ่งหลัง กดด้วยขวาหน้าเขตโทษ ติดบล็อกกองหลัง
9. กระหน่ำเต็มข้อ ตรงเข้ามือ เปโตรวิช น.61
10. นาที 76 โถมเข้าโขกเน้นๆ บอลลอยเข้าจูบคานบนอย่างดูดดื่ม
11. นาที 84 กดด้วยซ้ายนอกเขต ไม่ผ่านมือ เปโตรวิช
สรุปเกมนี้ หอกอุรุกวัยเพิ่มโอกาสยิงรวมขึ้นมาอีก 11 ครั้ง พร้อมทำสถิติซัดชนเสาและคานในเกมเดียวกัน 4 หน (กับ 1 แอสซิสต์ให้ หลุยส์ ดิอาซ ชาร์จเสาสอง น.79)
ไม่มีสกอร์เพิ่มแต่อย่างใด!
คอนเนอร์ แบร๊ดลี่ย์
คงถือเป็นอีกหนึ่งการค้นพบสุดเซอร์ไพรส์ และเป็นมรดกตกทอดที่ คล็อปป์ จะได้ส่งต่อให้ผู้มาใหม่พร้อมรอยยิ้ม
คอนเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ แบ็กขวาดาวรุ่งไอร์แลนด์เหนือ วัย 20 เจ้าของเสื้อหมายเลข 84 แม้อันที่จริงจะขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ตั้งแต่ 2021/22 (5 นัด) แล้ว แต่ซีซั่นก่อนถูกส่งยืมไปเป็นตัวหลักของ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ชนิดได้เล่นให้ทีมระดับ ลีกวัน ถึง 53 นัด (มีซัด 7 ประตูด้วย) และคว้ารางวัลนักเตะแห่งปี โบลตัน มาครองด้วย
มาซีซั่นนี้ แบร๊ดลี่ย์ ถูกเรียกตัวจาก คล็อปป์ ให้ขึ้นมาในฐาแนะ "กำลังเสริม" ลงสำรองเกม ยูโรป้า ลีก บ้าง เกมบอลถ้วยในประเทศบ้าง
เพิ่งจะช่วงหลัง ช่วงเดือน ม.ค. นี่เองที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ล้มเจ็บไป จนเป็นโอกาสเต็มๆ ของ แบร๊ดลี่ย์
นับตั้งแต่เกมชนะ ฟูแล่ม 2-1 จนวันนี้ แบร๊ดลี่ย์ ควงคู่กับ โจ โกเมซ ลงเล่นที่แบ็กขวา-ซ้าย ของ ลิเวอร์พูล มาเป็นเกมที่ 5 ติดต่อกัน
ในส่วนของ แบร๊ดลี่ย์ ซิวรางวัล แมนออฟเดอะแมตช์ นัดชนะ นอริช ซิตี้ 5-2 เมื่อวันอาทิตย์ และวันนี้ก็ย้ำ แมนออฟเดอะแมตช์ ที่สอง ด้วยผลงานยิง 1 แอสซิสต์ 2 และเรตติ้งระดับ 10/10 จากสื่อหลายเจ้า
ที่นี่แอนฟิลด์
ในแอนฟิลด์ ซีซั่นนี้ ลิเวอร์พูล ยังแพ้ใครไม่เป็นเลยทั้งสิ้น โดยลงสนาม 18 นัดชนะ 16 เสมอ 2 รวมเกมล่าสุดนี้แล้ว
ยังต้องบวกเพิ่มไปเป็น 26 เกมติดต่อกัน นับรวมซีซั่นก่อน เมื่อถัดจากที่โดน เรอัล มาดริด บุกอัด 5-2 ตอนกลางเดือน ก.พ. ในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แล้ว เด็กๆ ของ คล็อปป์ ก็ไม่แพ้ใครอีกเลยจนวันนี้
แน่นอนว่านี่คือปัจจัยสำคัญมากในการบินสูงของ ลิเวอร์พูล
และเมื่อบวกกับผลงานเกมเยือนที่ยอดเยี่ยมไม่ต่างกันมากแล้ว ก็ได้ผลเป็นระยะห่าง แมนฯ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล 5 แต้มเท่ากันในตอนนี้
แผลของสิงห์
เวลาเดียวกันกับที่ ลิเวอร์พูล สานต่อความร้อนแรงในบ้านตัวเองได้ตามเดิม แผลสดแผลเปื่อย พุพองน้ำร้อนลวกของ เชลซี ก็เริ่มเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับ "ผลงานเกมเยือน"
เชลซี ของ โปเช็ตติโน่ อาจจะดูดีขึ้นแล้วในภาพรวมของฟอร์มการเล่น ด้วยแม้จะนับรวมเกมนี้ ก็ยังแพ้แค่ 2 จาก 8 นัดหลังทุกรายการ (ชนะ 5 เสมอ 1)
แต่ถ้านับเฉพาะเกมเยือนแล้ว จะพบว่า เชลซี แพ้ถึง 6 จาก 7 เกมเยือนหลังสุด เลยทีเดียว : 1-4 นิวคาสเซิ่ล, 1-2 แมนฯ ยูไนเต็ด, 0-2 เอฟเวอร์ตัน, 1-2 วูล์ฟส์, 3-2 ลูตัน, 0-1 มิดเดิ้ลสโบรช์, 1-4 ลิเวอร์พูล
ชัดเจนว่านี่คือจุดอ่อนของสิงห์ เป็นปัญหาที่ โปเช็ตติโน่ ต้องรีบสะสาง
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องอื่นอีกเช่นว่า
- ยังไงๆ โคล พาลเมอร์ ก็ไม่เหมาะกับการยืนหน้าเป้า ฟอลส์ไนน์ ที่ "เสียของ" ชัดเจน เมื่อทำให้กลางตัวปั้นเกมหายไป 1 ต้องมาพึ่งพาการขึ้นบอลของ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ ที่เสียบอลง่าย นึกจะล้มเมื่อไหร่ก็ล้ม และไร้ทีเด็ดทีขาด
- ริมเส้น ยังไม่ลงล็อก เกมนี้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กับ โนนี่ มาดูเอเก้ ไม่มีประโยชน์ในครึ่งแรก ครึ่งหลังค่อยดีขึ้นหน่อยเมื่อมีการส่งสำรองลงแก้เกม
- หลังบ้าน โปเช็ตติโน่ ก็เหมือนจะเลือกผิดเต็มๆ ที่ไว้ใจ เบอนัวต์ บาเดียชิล เซนเตอร์ฝรั่งเศสวัย 22 ซึ่งซีซั่นนี้เพิ่งได้เล่นแค่ 8-9 นัด ให้ลงมาจับคู่ ติอาโก้ ซิลวา แทนที่จะใช้คู่ขาเดิมอย่าง อักเซล ดิซาซี่ (27 เกม) แม้จะมีข้ออ้างว่าให้ ดิซาซี่ ต้องลงแบ็กขวา ที่ รีซ เจมส์ เจ็บอยู่ และ มาโล กุสโต้ เพิ่งกลับมานั่งสำรอง ก็ตาม
ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้เกมนี้ บทสรุปคือการพบว่า เชลซี ยัง "ห่างชั้น" กับท็อปทีมของประเทศ อยู่เยอะ เมื่อจากชัยชนะทั้ง 9 นัดใน พรีเมียร์ลีก ก็ล้วนแต่เป็นการชนะทีมเกรดรองๆ ลงไปทั้งสิ้น ยกเว้นแค่ที่บุกอัด สเปอร์ส 4-1 เกมเดียว (ไก่วันนั้น เล่น 9 คน)
และเมื่อต้องฟาดฟันกับท็อปทีมที่กำลังพีค เช่น ลิเวอร์พูล วันนี้ ก็เละเทะอย่างที่เห็น
อย่างไรก็ตาม ยังมีเวลาอีกร่วม 1 เดือนให้ โปเช็ตติโน่ คิดค้นหาวิธีการหักปีกหงส์ เพื่อจะไม่ให้เกิดภาพประมาณนี้ซ้ำอีกในนัดชิง คาราบาว คัพ ที่เวมบลีย์ 25 ก.พ.
ถ้าทำไม่ได้ ก็รอดู "เกมขาด" ซ้ำเก่าได้เลย