ลูตัน ทาวน์ 2-3 เชลซี : ประเด็นน่าสนใจจากเกม พรีเมียร์ลีก นัด สิงห์น้ำเงิน เฮหวิว 3-2 ส่งท้ายปี 2023 - FEATURE
• เชลซี ได้ผลชนะเป็นการส่งท้ายปี 2023 ที่ต้องยอมรับว่า 'ไม่ดี'
• โดยแม้จะถูก ลูตัน ทาวน์ ไล่บีบสกอร์จาก 3-0 มาเป็น 3-2 แต่สุดท้ายก็เข้าป้ายกำชัยได้สำเร็จ
รายการ: ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2023/24
วันแข่งขัน: วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม 2566
สนาม: เคนิลเวิร์ธ โร้ด
ผลการแข่งขัน: ลูตัน ทาวน์ 2-3 เชลซี
การทดลองยังคงดำเนินต่อ
แน่นอน ครึ่งทางของ พรีเมียร์ลีก 2023/04 ผ่านไป ก็ยังคงไม่มีเกมไหนเลยที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จะมีสภาพทีม 100% สามารถใช้งานนักเตะ เชลซี ได้แบบครบถ้วน ไม่มีขาดลามาสาย
เกมนี้ ที่จริงได้ตัว โคล พาลเมอร์ กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง หายเจ็บกลับมา รวมถึง เอ็นโซ เฟร์นานเดซ ก็ฟื้นจากอาการไส้เลื่อน (ได้เร็ว) แล้ว
แต่ที่ยังขาดหายไปมีทั้ง โรเบิร์ต ซานเชซ (พักยาวกว่าที่คิด), มาร์ก กูกูเรย่า, รีซ เจมส์, เทรโวห์ ชาโลบาห์, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, เบน ชิลเวลล์, คาร์นี่ ชุคเวเมก้า, เลสลี่ย์ อูโกชุควู ไปจนถึง โรมิโอ ลาเวีย ก็เจ็บซ้ำไปอีกแม้เพิ่งประเดิมสำรองนัดแรกเท่านั้น
นั่นทำให้ โปเช็ตติโน่ ต้องทำการ "ทดลอง" อีกครั้ง ในแนวรุก ด้วยการวาง อาร์มันโด้ โบรย่า ค้ำหน้าเป้า ถ่างจอมกระโดกกระเดกอย่าง นิโคลัส แจ๊คสัน ออกไปตัวริมเส้นซ้ายบ้าง (เผื่อจะดี) กลางรุกตรงกลางเป็น โคล พาลเมอร์ และทางขวาใช้ โนนี่ มาดูเอเก้
ดีที่เป็น 'งานง่าย'
เป็นเรื่องจริงที่ ลูตัน ทาวน์ เครื่องติดชนะมา 2 เกมซ้อนแล้ว
เพียงแต่ในรายละเอียดของแต่ละเกม (ขนะนิวคาสเซิ่ลที่เจ็บครึ่งทีม กับเชือด เชฟยู ท้ายเกม) ก็ฟ้องอยู่ว่า ลูตัน ทาวน์ ไม่ได้น่ากลัวอะไร และระดับชั้นของฝีเท้ายังไม่ถึงกับเป็น "ทีมพรีเมียร์ลีก" เต็มตัว
จึงไม่แปลกนักที่ เชลซี จะหนี 2-0 ตั้งแต่ครึ่งแรก : กองหลังลูตันจ่ายมาเข้าเท้า โคล พาลเมอร์ จนโดนยิงสวนเข้าเสาไกล, โนนี่ มาดูเอเก้ ล็อกด้วยซ้ายเข้าขวากดเปรี้ยงเสียบตาข่าย
และโดยเฉพาะว่าก็บวกเป็น 3-0 อีกตอนกลางครึ่งหลัง : นิโคลัส แจ๊คสัน แทงอย่างสวยให้ พาลเมอร์ หลุดเข้าไปโชว์เหนือล็อกไปล็อกมาก่อนยิงเข้าไปง่ายๆ
คุ้มยิ่งกว่าแฟลตปลาทอง
คงไม่ต้องสืบสาวราวเรื่องกันอีกแล้วว่า โคล พาลเมอร์ เป็นใคร
แต่พูดได้ว่า จนถึงตอนนี้ นี่คือการลงทุนที่ยอดเยี่ยมมากๆ ดีลหนึ่งของ เชลซี ยุค ท็อดด์ โบห์ลี่
40 ล้านปอนด์ที่ควักจ่ายให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป จนถึงตอนนี้ได้ผลตอบแทนกลับมาแล้วเป็น 8 ประตูกับ 6 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 19 นัดของตัวรุกวัย 21
นำดาวซัลโวของทีม ร่วมกับ นิโคลัส แจ๊คสัน และเป็นเบอร์ 1 ตัวทำแอสซิสต์
เกิดถ้าใจร้อน ขายออกตลาดปีใหม่นี้หรือซัมเมอร์หน้า อย่างน้อย 60-70 ล้านปอนด์ต้องมี
และในแง่หนึ่ง ก็คือภาพสะท้อนของ "ความสำเร็จ" ในการปั้นเด็กของอะคาเดมี่ แมนฯ ซิตี้ (พาลเมอร์, ฟิล โฟเด้น, ริโก้ ลูอิส, ออสการ์ บ๊อบบ์, เจมส์ แทร็ฟฟอร์ด, เทย์เลอร์ ฮาร์วู้ด-เบลลิส) เช่นกัน
แจ๊คสัน น่าสนใจ
คงไม่ใช่หรอกว่าในช่วงหลัง นิโคลัส แจ๊คสัน จะเปลี่ยนตัวเองจากนักเตะที่ "คลาสไม่ถึงพรีเมียร์ลีก" มาเป็นยอดแข้งผู้น่าจับตาในเพียงชั่วข้ามคืน
เกมนี้ "แอฟริกันเนย์มาร์" ยังคงแสดงถึงความกระโดกกระเดก เลี้ยงติด จับบอลห่าง เสียบอลง่าย อยู่เหมือนเดิม
เพียงแต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้ง 1-0 กับ 3-0 ที่ได้ แจ๊คสัน มีส่วนร่วมโดยตรง
กับการถูกถ่างออกไปยืน "ปีกซ้าย" ชัดเจนว่า แจ๊คสัน มีพื้นที่เล่น มีช่องว่างให้กระชากลากเลื้อย และเป็นอิสระมากกว่าเดิม
1-0 พาบอลเข้าไปส่องติดเซฟ ก่อนกองหลังมอบของขวัญให้ โคล พาลเมอร์ ส่วนลูก 3-0 คือการเล่นแบบที่ "นานๆ ครั้งต้องปรบมือให้" กับการคล้องบอลหนีตัวประกบ แล้วแทงเปรี้ยงให้ พาลเมอร์ หลุดเข้าไปเช็คบิล
น่าสนใจในโอกาสต่อๆ ไป หากว่า แจ๊คสัน จะถูกใช้งานในฐานะปีกซ้าย ระยะยาว ไม่ใช้หน้าเป้าที่ดูสอบไม่ค่อยผ่าน (แม้มี 1 แฮตทริกก็ตาม)
เพราะฉะนั้น คีย์ตรงนี้ก็อยู่ที่ว่า เชลซี จะมี "หน้าเป้า" ดีๆ ได้หรือยัง ไม่ว่าจะ อาร์มันโด้ โบรย่า, คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู หรือใครก็ตามที่อาจเข้ามาสมทบในตลาดหนาวนี้ ก็ตาม
ปัญหาแก้ไม่ตก
อย่างไรก็ตาม ในภาพของการรัวคู่แข่งได้สะดวกโยธิน ขึ้น 3 เม็ดอีกครั้ง ก็ยังแฝงไว้ด้วยปัญหาเก่าเก็บอย่าง "เกมรับ" ที่จะดีๆ ก็ไม่ดี ไม่เข้าที่เข้าทางเสียที
เกมนี้ เสีย 2 ประตูให้ทีมอย่าง ลูตัน ทาวน์
นี่คือการเสียลูกที่ 31 แล้ว จากการเตะ พรีเมียร์ลีก 20 นัด มากกว่าทีมระดับท็อปทุกราย และมากกว่า เอฟเวอร์ตัน (25), คริสตัล พาเลซ (28) หรือ เบรนท์ฟอร์ด (28) เสียอีก
ขนาด แมนฯ ยูไนเต็ด ว่าหลังวรั่วๆ ก็โดนไป 25 ลูกเท่านั้น ก่อนเกมกับ ฟอเรสต์ คืนวันเสาร์
นี่คือโจทย์ใหญ่อีกข้อที่ โปเช็ตติโน่ ต้องแก้ให้ได้
ลาทีปีเก่า
เชลซี ส่งท้ายปีเก่าด้วยการยืนอันดับ 10 พรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ทีมที่เพิ่งสร้างของ โปเช็ตติโน่ ยังไม่ลงตัว ไม่ลงล็อก และต้องปรับอีกหลายอย่าง
- 1) หลังรั่ว
2) หน้าเป้ายังไม่ตอบโจทย์
และ 3) ความสม่ำเสมอยังไม่ปรากฏ
ให้หลังจากตามตีเสมอ แมนฯ ซิตี้ อย่างปาฏิหาริย์ 4-4 แล้ว จากนั้นมาอีก 8 นัด ถ้าไม่ชนะ ก็แพ้ไปเลย
- แพ้ นิวคาสเซิ่ล 1-4
ชนะ ไบรท์ตัน 3-2
แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-2
แพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-2
ชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-0
แพ้ วูล์ฟส์ 1-2
ชนะ คริสตัล พาเลซ 2-1
ชนะ ลูตัน ทาวน์ 3-2
ที่น่าตลกก็คือ หลังจากสู้อุตส่าห์ชนะ 2 เกมซ้อนได้เป็นครั้งแรกถัดจากเดือน ต.ค. แล้ว ก็ต้องมาเจอช่วง "เว้นวรรค" เข้าให้อีก สำหรับเกมลีก
นี่คือโปรแกรมถัดจากนี้ของ เชลซี
- 06/01 เหย้า เปรสตัน (เอฟเอ คัพ)
09/01 เยือน มิดเดิ้ลสโบรช์ (คาราบาว คัพ)
13/01 เหย้า ฟูแล่ม (พรีเมียร์ลีก)
23/01 เหย้า มิดเดิ้ลสโบรช์ (คาราบาว คัพ)
31/01 เยือน ลิเวอร์พูล (พรีเมียร์ลีก)
สำคัญคือ ไม่ได้มีช่วงพักเบรคหนีหนาวครึ่งเดือนอย่างใครเขาด้วย (เต็มที่ก็ปล่อยฮอลิเดย์ 4-5 วัน หลังเกม ฟูแล่ม) เมื่อดันต้องเตะตัดเชือก คาราบาว คัพ เหย้าเยือนพอดี
เอาเป็นว่า ลาทีปีเก่า อะไรที่ไม่ดีก็ละทิ้งไป ปรับปรุงตัวแก้ไข เพื่อเข้าสู่ศักราชใหม่อย่างเข้มแข็ง
ดีไม่ดี เร็วๆ นี้ เราอาจเห็น "หน้าเป้าคนใหม่" ที่จะมาแก้ไขปัญหาเรื้อรังให้กับ เชลซี ได้เสียที