แมนซิตี้ 1-0 เชลซี : ประเด็นหลังเกมเอฟเอ คัพ เรือใบสีฟ้า คว้าชัย ทะลุงชิงดำ เมื่อคืนที่ผ่านมา
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เบียดเอาชนะ เชลซี 1-0 จากประตูชัยช่วงท้ายเกมของ แบร์นาร์โด้ ซิลวา
- เชลซี มีโอกาสทำประตูขึ้นนำหลายครั้ง โดยเฉพาะจาก นิโคลัส แจ็คสัน แต่ไม่เฉียบขาดพอ
- แมนฯ ซิตี้ จะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ไปรอเจอผู้ชนะระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ โคเวนทรี ซิตี้
โดย Asree Samuyae
รายการ | เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 2023/24 รอบรองชนะเลิศ |
---|---|
วันแข่งขัน | วันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2567 |
สนาม | เวมบลี่ย์ สเตเดี้ยม |
ผลการแข่งขัน | แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 เชลซี |
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เบียดเอาชนะ เชลซี 1-0 จากประตูชัยช่วงท้ายเกมของ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ศึกเอฟเอ คัพ อังกฤษ ได้สำเร็จ
ช่วงครึ่งแรก เชลซี มีโอกาสทำประตูขึ้นนำหลายครั้ง แต่ไม่เฉียบขาดพอ สุดท้ายเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่เคี่ยวกว่า แม้เพิ่งกรำศึกหนักเตะ 120 นาทีในเกมยุโรปเมื่อกลางสัปดาห์ก็ตาม
ทั้งนี้ แมนฯ ซิตี้ จะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ไปรอเจอผู้ชนะระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ โคเวนทรี ซิตี้ ต่อไป
สำหรับประเด็นที่เรามองเห็นในเกมระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ เชลซี ที่เวมบลี่ย์ มีดังต่อไปนี้...
การจบสกอร์ที่น่าผิดหวัง แจ็คสัน
นิโคลัส แจ็คสัน มีหนึ่งในเกมที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย ดาวเตะทีมชาติเซเนกัลยิงไปแล้ว 13 ประตูรวมทุกรายการให้กับ เชลซี แต่เขาไม่ได้มีฤดูกาลที่ดีนักในฟุตบอลอังกฤษ หลังย้ายมาจาก บีญาร์เรอัล
กองหน้ารายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากโอกาสทองหลาย ๆ ครั้งที่ปล่อยให้หลุดมือ และเป็นอีกครั้งเมื่อเจอกับ แมนฯ ซิตี้ ทีมที่ไม่ได้ปล่อยให้คู่แข่งได้ส่องพวกเขามากนัก
มันน่าเขกกระโหลกจริง ๆ โดยเฉพาะจังหวะหลุดเดี่ยวในครึ่งแรก แจ็คสัน หลบ สเตฟาน ออร์เตก้า ได้แล้ว แต่คิดมากเกินไปยึกยักไม่ยอมยิง สุดท้ายเลยไม่ได้ส่อง รวมถึงครึ่งหลังที่โอกาสเหน่ง ๆ สองหนติดก็ยังไม่ผ่าน ออร์เตก้า อยู่ดี
ลองนึกภาพดูว่าหากโอกาสของ แจ็คสัน เปลี่ยนเป็นประตูได้อย่างน้อยสักลูก เกมก็คงอาจจบลงแตกต่างออกไป
ดราม่าแฮนด์บอล
โคล พาลเมอร์ มั่นใจว่าเขาควรได้จุดโทษ หลังจากซัดฟรีคิกโดนมือของ แจ็ค กรีลิช ที่ยืนตั้งกำแพงแบบเห็น ๆ แต่ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสินในเกมนี้ กลับเพิกเฉย และไม่ได้เดินไปดูเหตุการณ์ทางจอมอนิเตอร์ด้วยตัวเอง
มิหนำซ้ำจังหวะดังกล่าว โอลิเวอร์ ยังเมินให้เตะมุมกับ เชลซี อีกด้วย ทั้งที่บอลโดนผู้เล่นของ แมนฯ ซิตี้ ก็ตาม แม้กระทั่ง VAR เช็คแล้วก็เห็นด้วยกับการตัดสินของกรรมการเลือดผู้ดี
น่าสนใจว่าคำอธิบายของ VAR จะออกมาเป็นอย่างไร เพราะดูจากภาพช้าแล้วยังไงก็แฮนด์บอลชัด ๆ และลูกบอลก็ไม่ได้แฉลบโดนส่วนอื่นของร่างกายก่อนด้วยซ้ำ จังหวะกางแขนก็ไม่ได้แนบลำตัวด้วย
โดกู ตัวเปลี่ยนเกม
แจ็ค กรีลิช ถูกเปลี่ยนตัวออกไม่นานหลังจากโดน มอยเซส ไคเซโด้ เข้าปะทะหนักซึ่งทำให้แนวรุกชาวอังกฤษโมโหอย่างมาก แต่สุดท้ายแล้วมันเป็นจุดเปลี่ยนของ แมนฯ ซิตี้ ที่สามารถส่ง โดกู ลงมาสร้างความปั่นป่วนทางริมเส้นฝั่งซ้าย
ปีกทีมชาติเบลเยียมปั่นป่วนแนวรับเชลซี และอันตรายทุกครั้งที่ได้บอล มิติเกมรุกที่แตกต่างจาก กรีลิช ชัดเจน โดยเฉพาะการเผาเครื่อง มาโล กุสโต้ จนรายหลังมีอาการเจ็บ
โดกู เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับประตูชัยของทีม โดยเป็นคนจ่ายให้ เควิน เดอ บรอยน์ เปิดแฉลบเข้าหา แบร์นาร์โด้ ยิงผ่านมือ ยอร์เย เปโตรวิช เข้าไป
บางทีหาก โดกู ถูกส่งลงเร็วกว่านี้ "เรือใบสีฟ้า" อาจไม่ต้องเหนื่อยยิงประตูในช่วงท้ายเกมก็เป็นได้
เชลซี เล่นบอลฉายเดี่ยวเกินไป
ในขณะที่นักเตะ แมนฯ ซิตี้ พยายามหาเพื่อนร่วมทีมแทบทุกครั้งที่ได้บอล ในทางตรงกันข้ามผู้เล่น เชลซี มักจะตะบี้ตะบันเลี้ยงเองมากกว่า
น่าเสียดายแทน เชลซี เพราะเกมนี้พวกเขาได้เปรียบเรื่องพละกำลังมากกว่า เพราะ แมนฯ ซิตี้ เพิ่งแข่งไปเมื่อกลางสัปดาห์ และต้องเล่นจนถึงการดวลจุดโทษด้วยซ้ำก่อนจะมาเตะแมตช์นี้
การประสานงานระหว่างนักเตะในทีมเป็นปัญหาสำหรับ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ แม้มีแข้งดี ๆ มากมาย แต่ด้วยขุมกำลังอายุน้อยและเพิ่งรวมตัวกันได้ไม่นาน เพราะงั้นพวกเขายังต้องการเวลาในการเจล ต่างจาก แมนฯ ซิตี้ ที่เล่นด้วยกันมานาน อาจมีเข้ามาใหม่แค่ไม่กี่คน ทำให้สมดุลเกมของพวกเขาดูดีกว่าเยอะเลย