เนเธอร์แลนด์ 0-0 ฝรั่งเศส: เก็บตกประเด็นหลังเกม เจ๊าไร้สกอร์แรกในศึก ยูโร 2024 แต่โอกาสเข้ารอบสูงทั้งคู่
• 4 คะแนนจาก 2 นัดแรกของทั้งสองทีม มีโอกาสสูงที่ทั้งคู่จะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
• คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ไม่ได้ลงเล่นในเกมนี้
• แข้ง ''เลส์ เบลอส์'' ยังคงผลิตสกอร์ไม่เป็นในยูโร 2024
รายการ | ยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่ม, กลุ่ม ดี, นัด 2 |
---|---|
วันแข่งขัน | คืนวันศุกร์ ที่ 21 มิ.ย. 2024 |
สนาม | ไลป์ซิก สเตเดี้ยม |
ผลการแข่งขัน | เนเธอร์แลนด์ 0-0 ฝรั่งเศส |
ไร้สกอร์แรกในศึก ยูโร 2024
ผลเสมอ 0-0 ของคู่ดังกล่าว ทำให้เป็นคู่แรกของศึก ยูโร 2024 ที่ลงเอยด้วยการเสมอแบบไร้สกอร์ แม้ว่าทั้งสองทีมจะสร้างโอกาสยิงรวมกันไป 23 ครั้งก็ตามในนัดนี้
อีกทั้งยังเป็น 0-0 แรก รอบ 3 ปีเศษสำหรับศึก ยูโร รอบสุดท้าย นับตั้งที่ อังกฤษ เสมอกับ สกอตแลนด์ 0-0 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2021
ฝรั่งเศส ยังฝืดใน ยูโร 2024
แม้นัดแรก ขุนพล ''เลส์ เบลอส์" จะเฉือน ออสเตรีย ไปด้วยสกอร์ 1-0 แต่ประตูชัยที่พวกเขาได้มาจากการทำเข้าประตูตัวเองของคู่แข่ง
อ็องตวน กรีซมันน์ ควรจะมีชื่อเป็นผู้ผลิตสกอร์ในนัดนี้ แต่กลับพลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาได้โอกาสลุ้นทำประตูไป 4 ครั้งในครึ่งแรก จากโอกาสยิง 5 ครั้งของทีม
เฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่ อาเดรียง ราบิโอต์ ได้หลุดเข้าไปก่อนจะจิ้มบอลไปให้เขา แต่บอลมันดันย้อนหลัง กรีซมันน์ ไปเล็กน้อย ทำให้เจ้าตัวยิงไม่ถนัด แถมในครึ่งหลังเขาได้โอกาสยิงจ่อ ๆ ในกรอบ 6 หลา แต่ไปติดเซฟ บาร์ท แฟร์บรู๊กเก้น จอมหนึบดัตช์
สองนัดแรก ฝรั่งเศส สร้างโอกาสลุ้นทำประตูไปทั้งหมด 29 ครั้ง ตรงกรอบ 6 แต่ไม่มีชื่อนักเตะฝรั่งเศสทำประตูสักคนเดียว ถือเป็นครั้งแรกของพวกเขาที่เตะสองเกมแรกในศึก ยูโร รอบแบ่งกลุ่ม รอบสุดท้าย โดยที่ไม่มีชื่อผู้เล่นพวกเขาผลิตสกอร์
เมื่อ ฝรั่งเศส ไม่มี เอ็มบัปเป้
ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือทัพ ''เลส์ เบลอส์'' ตัดสินใจไม่ส่ง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่จมูกแตกจากเกมแรกลงเล่นในนัดนี้แม้แต่นาทีเดียว แม้ดูเหมือนว่าเจ้าตัวอยากจะลงเล่นก็ตาม
กุนซือวัย 55 ปี วางหมาก 4-4-1-1 โดยที่แดนกลาง 4 ตัว เป็น ราบิโอต์ (ริมเส้นฝั่งซ้าย), ชูอาเมนี่, ก็องเต้, เดมเบเล่ โดยมี กรีซมันน์ เป็นหน้าต่ำคอยสนับสนุน ตูราม ที่ยืนเป็นหัวหอกตัวเป้า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือ เกมรุกทางกราบซ้ายของพวกเขาดูขาดมิติไปอย่างเห็นได้ชัด
เตโอ แอร์กน็องเดซ แบ็กซ้ายจอมบุกที่มักเติมสูงเป็นประจำ ขาดการประสานงานหรือเล่นร่วมกันกับเพื่อนร่วมทีมตรงริมเส้นฝั่งซ้าย ทำให้ความอันตรายสำหรับเกมรุกทางฝั่งนั้นลดลงไปเยอะ เมื่อไม่มีนักเตะอย่าง เอ็มบัปเป้ อยู่ในสนาม
อาเดรียง ราบิโอต์ ถูกสั่งให้ไปยืนริมเส้นฝั่งซ้ายเวลายืนป้องกัน โดยเวลาบุกหรือสร้างเกมรุกจะยืนเป็นมิดฟิลด์ตามปกติ และเติมเกมรุกทางด้านซ้ายเป็นบางครั้ง
แม้หลาย ๆ จังหวะ ราบิโอต์ จะทำได้ดีก็ตาม แต่เขาไม่ใช่ผู้เล่นที่มีความเร็วแบบปีกที่ทะลุทะลวง หรือ ทำลายหลังบ้านคู่แข่ง
ดัตช์ ขาดคุณภาพในพื้นที่สุดท้าย
โรนัลด์ คูมัน ติดตั้งระบบ 4-2-3-1 ให้กับลูกทีม ''อัศวินสีส้ม'' แผนกตัวรุกของพวกเขามีทั้ง เยเรมี่ ฟริมปง, โคดี้ กักโป, ซาฟี ซิมอนส์ และ เมมฟิส เดอปาย
เกมรับของพวกเขาไม่ใช่ปัญหา เพราะ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จัดการเอาไว้ได้หมด แต่เกมรุกของพวกเขามีปัญหาในนัดนี้
เฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่สุดท้าย แผนกตัวรุกของพวกเขามีความคล่องตัว มีความเร็ว แต่ขาดคุณภาพ ขาดความแน่นอน
ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย พวกเขาอดประตูขึ้นนำ เมื่อ ซิมอนส์ ซัดบอลเสียบมุมเข้าไป แต่ไลน์แมนยกธงเป็นลูกล้ำหน้า บวกกับวีเออาร์ที่เช็คดูแล้วและมองว่า เดนเซล ดุมฟรีส ไปยืนขวางทาง ไมค์ เมนญอง จอมหนึบฝรั่งเศส เป็นเหตุให้ลูกนี้ไม่เป็นประตู
ก็องเต้ ''แมน ออฟ เดอะ แมตช์'' อีกครั้ง
การที่พวกเขามี โอเรเลียง ชูอาเมนี่ ที่ยืนต่ำในแดนกลางคอยปัดกวาดหลังบ้าน ทำให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มีอิสระในการเติมเกมรุกสูงมากขึ้น
กองกลางวัย 33 ปี เป็นนักเตะที่สามารถเล่นได้ทั้งรุกและรับ มีความคล่องตัว ไปกับบอลได้ดี
เขาวิ่งไปทั่วสนาม แรงดีไม่มีตก วิ่งขึ้นวิ่งลง มีส่วนร่วมกับทีมทั้งเกมรุกและรับ เขาสร้างสรรค์โอกาสไป 3 ครั้ง ถือเป็นเกมที่เขาเล่นได้โดดเด่นเลยทีเดียว และหลังจบเกม เขาได้รับรางวัล ''แมน ออฟ เดอะ แมตช์'' ซึ่งเป็นหนที่สองติดต่อกันของเขาด้วย
รู้หรือไม่? ในเกมดังกล่าว มีเพียง ราบิโอต์ เพียงคนเดียวที่สร้างสรรค์โอกาสมากกว่า ก็องเต้ ในนัดนี้ (4 ครั้ง)
สถานการณ์ของกลุ่ม ดี
ผลเสมอระหว่าง เนเธอร์แลนด์ และ ฝรั่งเศส ทำให้แบ่งกันไปทีมละ 1 แต้ม แต่ก็มีโอกาสสูงที่สองทีมจะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
ในขณะที่ โปแลนด์ กลายเป็นชาติแรกที่ตกรอบศึก ยูโร 2024 ต่อให้นัดสุดท้ายพวกเขาจะคว้าชัยก็ตาม แต่ เฮด-ทู-เฮด โปแลนด์ แพ้ ออสเตรีย
สำหรับนัดสุดท้ายของกลุ่ม ดี จะเตะกันวันอังคาร ที่ 25 มิถุนายน นี้ เนเธอร์แลนด์ (อันดับ 1, 4 แต้ม) จะพบกับ ออสเตรีย (อันดับ 3, 3 แต้ม) ขณะที่ ฝรั่งเศส (อันดับ 2, 4 แต้ม) เจอ โปแลนด์ (อันดับ 4, 0 แต้ม) โดยทั้งสองคู่จะแข่งในเวลา 23.00 น. ตามเวลาประเทศไทย (เตะพร้อมกัน)