เร้ด สตาร์ เบลเกรด 2-3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : ประเด็นหลังเกม แชมเปี้ยนส์ลีก เรือใบสีฟ้า ปิดจ็อบรอบแบ่งกลุ่มสวยงาม
- ไมกาห์ แฮมิลตัน ยิงประตูในนัดประเดิมสนามให้ชุดใหญ่
- ออสการ์ บ็อบบ์ คว้าแมนออฟเดอะแมตช์ไปครอง
- แมนฯ ซิตี้ คว้าชัย 6 นัดรวด คว้าแชมป์กลุ่ม จี
โดย Asree Samuyae
รายการ | ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023/24 รอบแบ่งกลุ่ม |
---|---|
วันแข่งขัน | คืนวันพุธที่ 13 ธันวาคม 2566 |
สนาม | สตาดิโอน รายโก้ มิติช |
ผลการแข่งขัน | เร้ด สตาร์ เบลเกรด 2-3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ |
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าชัย 6 จาก 6 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้พวกเขาเข้ารอบน็อคเอาท์ได้ตามเป้า และอยู่ในเส้นทางการป้องกันแชมป์รายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อไป หลังจากล่าสุดบุกเอาชนะ เร้ด สตาร์ เบลเกรด ทีมจากเซอร์เบียด้วยสกอร์ 3-2
ที่จริงแล้ว ซิตี้ การันตีแชมป์กลุ่มจีก่อนที่พวกเขาจะเตะที่เบลเกรดด้วยซ้ำ และนั่นทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำการเปลี่ยนแปลงแทบยกชุดจากเกมที่ชนะ ลูตัน ทาวน์ เมื่อสุดสัปดาห์
มันเป็นเกมที่ กวาร์ดิโอล่า มอบโอกาสให้กับพวกเหล่านักเตะที่แทบไม่ค่อยได้ลงสนาม รวมถึงบรรดาดาวรุ่งโดยเฉพาะ ไมกาห์ แฮมิลตัน ซึ่งแจ้งเกิดหลังทำประตูได้ด้วย
และต่อไปนี้คือสิ่งที่เห็นจากเกมที่ แมนฯ ซิตี้ บุกเอาชนะ เร้ด สตาร์ ...
การแจ้งเกิดของ ไมกาห์ แฮมิลตัน
การประเดิมสนามของ ไมกาห์ แฮมิลตัน ปีกวัย 20 ปี เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดคุยก่อนเกม และเขาใช้เวลาไม่นานในการพิสูจน์ว่าทำไมถึงได้รับความไว้วางใจจาก กวาร์ดิโอล่า
แฮมิลตัน ใช้เวลาเพียง 19 นาทีในการทำให้แฟนบอลได้จดจำชื่อของเขา เมื่อหลุดไปทางกราบขวา, เลี้ยงหลบแนวรับเจ้าถิ่นเข้าไปในเขตโทษ แล้วตะบันด้วยขวาเสียบใต้คานได้อย่างสวยงาม
ช่วงท้ายเกม แฮมิลตัน ได้โชว์พลิ้วหนีแนวรับเจ้าบ้านอีกครั้ง ก่อนเป็นคนเรียกจุดโทษเพื่อให้ คาลวิน ฟิลลิปส์ ยิงประตูที่สามอีกด้วย
แม้ว่าโอกาสในการลงเล่นต่อจากนี้อาจเป็นเรื่องยากจากตัวเลือกแนวรุกของทีมที่มีแต่ยอดนักเตะ แต่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีของ แฮมิลตัน และยังเป็นการเตือนไปยังพวกแข้งสตาร์ดังเช่นกันว่าเขาพร้อมเสียบตำแหน่งได้ทุกเมื่อ
การออกสตาร์ทตัวจริงนัดสุดท้ายของ คาลวิน ฟิลลิปส์?
สำหรับ คาลวิน ฟิลลิปส์ มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากในการลงสนามเป็ตัวจริง แต่ถึงแม้เขาจะยิงจุดโทษได้อย่างเยือกเย็น แต่ในความเป็นจริงแล้วมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษรายนี้แทบจะไม่ได้สร้างอิมแพ็คหรือโชว์ฟอร์มเหมือนตอนอยู่ ลีดส์ ยูไนเต็ด
ฟิลลิปส์ ดูไม่นิ่งเลยเมื่อได้บอล ในเกมที่เขาโดนนักเตะอย่าง แฮมิลตัน, ริโก้ ลูอิส และ มาเธอุส นูเนส กลบหมด เขายังมีส่วนรับผิดชอบกับประตูตีไข่แตกของ ฮวาง อิน-บอม และได้ใบเหลืองอีกด้วย
ดาวเตะวัย 28 ปี ได้รับโอกาสลงเล่นจนจบเกม แต่เมื่อยังห่างไกลจากฟอร์มที่ดีที่สุดและดูเหมือนสนิมยังเกาะอยู่เลย ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการลงสนามเป็นตัวจริงครั้งสุดท้ายของเขากับทีมก็เป็นได้ ก่อนที่จะย้ายออกจากทีมในเดือนมกราคมนี้
มาเธอุส นูเนส ต้องพัฒนาเรื่องการจบสกอร์
มาเธอุส นูเนส ลงเล่นในเกมพรีเมียร์ลีกเพียง 5 นัดให้กับ ซิตี้ นับตั้งแต่ย้ายมาจาก วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ด้วยค่าตัว 53 ล้านปอนด์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา และฟอร์มการเล่นของเขาอาจเป็นข้อบ่งชี้สำคัญว่าทำไม
เพียงแค่ 2 นาทีแรก นูเนส ก็แสดงความกระตือรือร้นอยากจะแสดงฝีเท้าให้ กวาร์ดิโอล่า ได้เห็นถึงศักยภาพของตัวเอง ด้วยการใช้สปีดลากบอลฉีกแนวรับคู่แข่งจากกราบขวาจนกระจุย แต่มาเสียจังหวะสุดท้ายเมื่อจ่ายบอลไม่ดี
กองกลางวัย 25 ปี ซึ่งยังทำประตูให้สโมสรไม่ได้เลย ยังพยายามโอเวอร์เฮดคิกด้วย แต่ดันผิดจังหวะจนเจ็บเอง กระนั้นศักยภาพและความอันตรายของเขานั้นชัดเจน แต่เขาจำเป็นต้องปรับปรุงให้ดีกว่านี้ หากอยากเป็นกำลังสำคัญของทีมต่อไป
ออสการ์ บ็อบบ์ แมนออฟเดอะแมตช์ในเกมนี้
แม้ว่าแสงจะส่องไปที่ แฮมิลตัน จากผลงานอันโดดเด่นในนัดแรกกับชุดใหญ่ แต่อีกคนที่มองข้ามไม่ได้เลยนั่นก็คือ ออสการ์ บ็อบบ์ ตัวรุกทีมชาตินอร์เวย์
เกมนี้ บ็อบบ์ ถูกจับไปเล่นหน้าเป้าเมื่อ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ได้รับบาดเจ็บ และ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ มีชื่อแค่ตัวสำรอง แต่เขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่เคอะเขิน
นี่เป็นแมตช์ที่สองที่แข้งวัย 20 ปีได้รับโอกาสออกสตาร์ตตัวจริงให้กับ ซิตี้ โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในเกมคาราบาว คัพ ที่พ่ายให้กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
บ็อบบ์ นิ่งมาก ๆ เมื่อได้ครองบอล เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งได้สบาย ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมซีซั่นนี้ กวาร์ดิโอล่า เริ่มให้โอกาสบ่อยขึ้น