เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 0-2 ลิเวอร์พูล : ประเด็นที่ได้จากเกม พรีเมียร์ลีก นัด หงส์แดง แกร่งเกินทีมบ๊วยจะต้านไหว - FEATURE
• แม้นัดนี้บรรดาแนวรุกหงส์แดงเล่นไม่ค่อยออก แต่ก็ยังมีคนอื่นทำหน้าที่แทน
• ลิเวอร์พูล กำชัยต่อเนื่อง ตามติดจ่าฝูง อาร์เซน่อล 2 แต้มตามเดิม
รายการ: ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2023/24
วันแข่งขัน: วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2566
สนาม: บรามอลล์ เลน
ผลการแข่งขัน: เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 0-2 ลิเวอร์พูล
ไม่มีอะไรเทียบเคียงกันได้
นอกจากสีคล้ายกัน... เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ขาวแดง ส่วน ลิเวอร์พูล แดงล้วน -- ซึ่งก็ทำให้ต้องลงเล่นวันนี้ด้วยชุดสีม่วง ที่ไม่ได้เห็นบ่อยครั้งนัก
เป็นเรื่องจริงที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เจอปัญหานักเตะเจ็บไม่ใช่น้อย มีทั้ง อลิสซอน เบ็คเกอร์, โจเอล มาติป, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, ติอาโก้ อัลกันตาร่า, ดีโอโก้ โชต้า และ สเตฟาน บายเซติช ที่พลาดเกมนี้
แต่โทษที คริส ไวล์เดอร์ ที่เพิ่งกลับนั่งเก้าอี้คุม เชฟยู รอบ 2 แทนที่ พอล เฮ็คกิ้งบอทท่อม เมื่อวานนี้ เดินยืดอกส่ายอาดๆ มาบอกว่า "น้องๆ หลบทางหน่อย พี่มาพร้อมรถพยาบาล"
เพราะในขณะที่หงส์แดงขาด 6 วันนี้ ดาบคู่ ขาด 8-9 คนจ้า (แต่คงไม่ต้องร่ายชื่อ)
ผลงานแย่ ฟอร์มไม่ดี ตัวเจ็บยังเพียบอีกต่างหาก
แล้ว เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด จะเอาอะไรไปสู้ ลิเวอร์พูล ได้กันล่ะลวดเพี่ย...
10% - 15% - 75%
ตัวเลขข้างต้น คือความน่าจะเป็นของเกมนี้ ที่ทีมถ่ายทอดสดประเมินเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นเกม -- เชฟยู มีโอกาสชนะแค่ 10% และตรงกันข้าม ลิเวอร์พูล แทบจะ "นอนมา" ด้วยโอกาส 75%
ก็ด้วยปัจจัยจากข้อข้างต้น ว่านอกจากฟอร์มจะคนละเรื่องแล้ว ตัวเจ็บของทีมบ๊วยยังจะเยอะกว่าเสียอีก
นัดนี้ เกมดำเนินไปด้วย "รูปเกม" ที่คาดเดาได้ และรู้อยู่แล้วว่าจะออกแบบนี้
คือ ลิเวอร์พูล ครองบอลพร้อมบุกเข้าใส่ต่อเนื่อง ส่วน เชฟยู แม้เป็นเจ้าถิ่น แต่ก็ตั้งรับลึกมาจากบ้าน คริส ไวล์เดอร์ สั่งให้ 11 คนลงไปกองในแดนตัวเองทั้งหมด นานๆ ครั้งถึงได้ใช้จังหวะสวนกลับโต้เข้าใส่ทีมเยือน
เพราะฉะนั้น เงื่อนไขของเกมนี้ก็มีแค่ว่า
- 1. เชฟยู จะประวิงเวลาไม่เสียประตูได้จนถึงเมื่อไหร่
2. ลิเวอร์พูล จะหมดแรงและตีบตันไอเดียไปก่อนจะเปิดสกอร์นำ รึเปล่า
และ 3. เกมสวนกลับของ เชฟยู มีดีขนาดไหน
ไม่ต้องรอนานนัก
อย่างไรก็ตาม เดอะ ค็อป ก็ไม่ต้องรอประตูแรกนานนัก นาที 37 เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จัดให้
จากจังหวะเตะมุมนาที 38 ซึ่งมีงัดกันล้ม เปิดช่องให้ ฟาน ไดค์ แปบอลเปิดจาก เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เข้าไปอย่างง่ายดาย (และไม่ฟาวล์)
เป็นประตูแรกของ ฟาน ไดค์ ในซีซ่นนี้ และลูกแรกตั้งแต่ 1 มี.ค. เกมชนะ วูล์ฟส์ 2-0
1-0 ที่ต้องการ มาตอนท้ายครึ่งแรก ทำให้ครึ่งแรกจบลง "ตามเป้า" สำหรับ ลิเวอร์พูล
ครึ่งหลังก็มีแค่ว่า เชฟยู จะยอมเปลี่ยนเกมมาเปิดหน้าแลกเพื่อตามตีเสมอ หรือยังคงตั้งรับลึกเพื่อจะไม่ยอมเสียเพิ่มมากกว่า 1 ลูก (แล้วหวังน้ำบ่อหนาอย่างลูกตั้งเตะ) แค่นั้น
โมเมนตัมของ 'เทรนท์'
เกมที่แล้วสวมบทฮีโร่ พังประตูชัยเหนือ ฟูแล่ม 4-3
มาวันนี้แม้ไม่ยิง แต่ก็มี 1 แอสซิสต์ ที่นับเป็นแอสซิสต์ที่ 6 แล้วของซีซั่นนี้
(เกือบมี 2 แอสซิสต์ด้วย กับเตะมุม น.56 เปิดเข้ากลางคล้ายลูกแรกถึง โม ซาลาห์ กดเน้นๆ ติดซูเปอร์เซฟ เวส โฟเดริงแฮม)
นอกจากแอสซิสต์ในประตูนำ 1-0 ฟอร์มภาพรวมของดาวเตะวัย 25 ก็ออกมายอดเยี่ยม มีส่วนร่วมกับเกมสูง มีบทบาททั้งรุกรับ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกมนี้ ลิเวอร์พูล ผ่านได้อย่างสบาย
จับตาดูกันต่อ เสาร์นี้กับ คริสตัล พาเลซ
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะเอาอะไรมาเสิร์ฟบ้าง
รอยด่างอย่างเดียว
สองประตู สามแต้มเต็ม และอีกหนึ่งคลีนชีตที่ทำได้
แง่ร้ายเพียงอย่างเดียวที่ปรากฏจาก ลิเวอร์พูล เกมนี้ ก็คือ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์
ไม่ใช่ว่าฟอร์มการเล่นมีปัญหาหรือทำผิดพลาดอะไร แต่ต้องดูว่ามิดฟิลด์อาร์เจนไตน์ จะเป็น "ตัวเดี้ยง" ลำดับที่ 7 ของ คล็อปป์ หรือไม่
เพราะหลังจากล้มเจ็บต้นเกม จังหวะโดน กุสตาโว่ ฮาเมอร์ ย่ำใส่ (แบบไม่ตั้งใจ) แล้ว ก็ไปต่อไม่ไหวเมื่อเจ็บอีกรอบตอนต้นครึ่งหลัง ซึ่งต้องเป็น เคอร์ติส โจนส์ ลงไปแทน
เป็นว่าคงต้องรอฟังข่าว แม็ค อัลลิสเตอร์ จะต้องพักแข้งหรือไม่อย่างไร
ไร้พ่าย 8 นัด และยังน่าไปต่อ
หลังจากแพ้ สเปอร์ส 1-2 ในเกมที่ 7 มาจนถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล เข้าช่วงไร้พ่ายใน พรีเมียร์ลีก เป็นเกมที่ 8 ติดต่อกันแล้ว
แม้มีเกมที่ไม่น่าเสมออยู่บ้าง (2-2 ไบรท์ตัน, 1-1 ลูตัน ทาวน์) แต่โดยรวมถือว่ายอดเยี่ยม กับผลชนะ 5 เสมอ 3 ในระยะ 8 เกมหลัง
ที่สำคัญ ก็ดูว่า ลิเวอร์พูล มีโอกาสสานต่อระยะไร้พ่ายเป็นนัดที่ 9 และ 10 ด้วย กับเสาร์นี้ที่จะออกไปเยือน คริสตัล พาเลซ และช่วงกลางเดือน 17 ธ.ค. ที่จะเตะกับ แมนฯ ยูไนเต็ด
ภาพอาจเป็น "แดงเดือด" ก็จริง แต่ด้วยฟอร์มแบบช่วงหลัง ตีไปก่อนได้เลยว่า ลิเวอร์พูล มาแน่
น่าสนใจที่สุดคือ 23 ธ.ค. ลิเวอร์พูล v อาร์เซน่อล
ถ้าผ่านได้...ก็ไปกันยาว!