จัดอันดับกุนซือ ทีมชาติอังกฤษ ที่ดีที่สุดตลอดกาล - RANKED
- ทีมชาติอังกฤษ มีผู้จัดการทีมมาแล้ว 15 คน (ไม่นับคนที่ถูกแต่งตั้งชั่วคราว)
- ในระดับทวีป แกเร็ธ เซาธ์เกต พาทีมชาติ อังกฤษ เข้าใกล้คำว่าแชมป์มากที่สุดใน ยูโร 2020
- เซอร์ อัลฟ์ แรมซีย์ ยังคงเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่พา อังกฤษ เป็นแชมป์ ฟุตบอลโลก ได้สำเร็จ
แม้ทีมชาติ อังกฤษ จะอุดมไปด้วยเหล่านักเตะคุณภาพในทุกตำแหน่งตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าหนึ่งตำแหน่งที่เป็น "ยาขม" มาโดยตลอดสำหรับทีม สิงโตคำราม นั่นก็คือตำแหน่ง ผู้จัดการทีม ที่ไม่ว่าจะเป็นใครโปรไฟล์ดีมาจากไหน ส่วนใหญ่พอมาคุมทีมชาติ อังกฤษ ก็ไม่อาจดำรงตำแหน่งอยู่ได้นานสักเท่าไร
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังคงต้องพบกับความล้มเหลวแบบนับครั้งไม่ถ้วนแม้ตัวผู้เล่นจะทั้งดีและโด่งดังมากมายขนาดไหนก็ตาม วันนี้ 90MIN จะพาทุกท่านย้อนดูกันว่ากุนซือทั้ง 15 คนของทีมชาติ อังกฤษ มีใครกันบ้าง และผลงานของพวกเขาเป็นอย่างไรขณะดำรงอยู่ในตำแหน่ง
15. แซม อัลลาร์ไดซ์
ช่วงเวลาการคุมทีม : 2016
จำนวนนัด : 1 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 100%
แซม อัลลาร์ไดซ์ น่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถโม้ได้ว่าเขามีสถิติการคุมทีมชาติ อังกฤษ ที่ดีที่สุดตลอดกาล แต่ถ้าหากมองดูดี ๆ "บิ๊กแซม" คือหนึ่งคนที่น่าอับอายมากที่สุดในฐานะกุนซือทีม สิงโตคำราม เพราะเขาพาทีมลงเล่นได้เพียง 1 เกมเท่านั้น ก่อนจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง ข้อหาเผลอหลุดปากพูดคุยกับนักธุรกิจตัวปลอมเรื่องการทุจริตในวงการฟุตบอล ซึ่ง สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ได้สั่งลงดาบทันที
14. สตีฟ แม็คคลาเรน
ช่วงเวลาการคุมทีม : 2006-2007
จำนวนนัด : 18 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 50%
มือขวาคนปัจจุบันของ เอริก เทน ฮาก ผู้เคยเป็นถึงอดีตกุนซือใหญ่ทีมชาติ อังกฤษ กับความล้มเหลวชนิดที่ว่าคนเมืองผู้ดีคงไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน เพราะในยุคที่ทีม สิงโตคำราม อุดมอัดแน่นไปด้วยเหล่านักเตะแข้งทองไม่ว่าจะเป็น เดวิด เบ็คแฮม, สตีเวน เจอร์ราร์ด, แฟรงค์ แลมพาร์ด, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอห์น เทอร์รี และอีกมากมาย แม็คคลาเรน ทำทีมชาติ อังกฤษ ตกรอบอดไปเล่นในฟุตบอล ยูโร 2008 รอบสุดท้าย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่หนักแน่นพอที่เขาจะโดนไล่ออกหลังจากนั้นไม่นาน
13. เควิน คีแกน
ช่วงเวลาการคุมทีม : 1999-2000
จำนวนนัด : 18 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 39%
สมัยเป็นนักเตะ เควิน คีแกน คือหนึ่งนักเตะขวัญใจของพลพรรคชาว หงส์แดง แต่เมื่อพูดถึงบทบาทผู้จัดการทีมชาติ อังกฤษ คีแกน เป็นอีกหนึ่งคนที่พาทีมล้มเหลวในเมเจอร์ทัวร์นาเม้นต์ เพราะเจ้าตัวพาทีมชาติ อังกฤษ ตกรอบแบ่งกลุ่มในฟุตบอล ยูโร 2000 ด้วยผลงานชนะเพียงนัดเดียว ก่อนจะประกาศลาออกหลังจบเกมที่ อังกฤษ แพ้ให้กับ เยอรมัน 0-1 คาบ้าน ในเวลาต่อมา
12. เกล็น ฮอดเดิ้ล
ช่วงเวลาการคุมทีม : 1996-1999
จำนวนนัด : 28 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 61%
เกล็น ฮอดเดิ้ล เป็นผู้จัดการทีมชาติ อังกฤษ ที่แปลกแหวกแนวที่สุดคนนึงในประวัติศาสตร์ เพราะสมัยที่เขากุมบังเหียนทีมชาติ มีทั้งเรื่องราวสารพัดในห้องแต่งตัวจนทำให้ทีมชาติ อังกฤษ ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ตกรอบ 16 ทีมใน ฟุตบอลโลก 1998 โดย ฮอดเดิ้ล มักจะมีความคิดแปลก ๆ เช่นการดร็อปนักเตะคนสำคัญอย่าง เดวิด เบ็คแฮม รวมถึงการมีที่ปรึกษาส่วนตัวที่คล้าย ๆ หมอผีคอยปลุกพลังนักเตะในแคมป์ทีมชาติ และยังมีประเด็นที่เขาพูดว่าคนพิการคือคนที่ทำกรรมไว้ในชาติก่อน จนสุดท้าย สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ทนไม่ไหวต้องสั่งเด้งเขาไปในที่สุด
11. รอย ฮอดจ์สัน
ช่วงเวลาการคุมทีม : 2012-2016
จำนวนนัด : 56 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 59%
ก่อนจะมี แกเร็ธ เซาธ์เกต "ปู่รอย" เป็นผู้จัดการทีมคนก่อนหน้าของทีมชาติ อังกฤษ ซึ่งถ้าพูดกันตามเนื้อผ้าแล้ว กุนซือมากประสบการณ์คนนี้ทำทีมชาติ อังกฤษ ได้น่าผิดหวังเป็นที่สุด เขาพาทีม สิงโตคำราม ตกรอบ 8 ทีมใน ยูโร 2012 ตามด้วยการตกรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2014 ด้วยผลงานไม่ชนะใครเลยทั้งสามเกม ก่อนจะย่ำแย่แบบสุด ๆ ในการพลาดท่าแพ้ ไอซ์แลนด์ 1-2 ตกรอบ 16 ทีมใน ยูโร 2016 แค่นี้ก็น่าจะมากเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขากระเด็นตกเก้าอี้ผู้จัดการทีม
10. ฟาบิโอ คาเปลโล่
ช่วงเวลาการคุมทีม : 2008-2012
จำนวนนัด : 42 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 67%
เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่ทีมชาติ อังกฤษ ยอมจ้างกุนซือจากต่างแดนมาเป็นผู้จัดการทีม ซึ่งแม้ ฟาบิโอ คาเปลโล่ จะครำ่หวอดในการพาทีมฟุตบอลคว้าแชมป์มาอย่างมากมาย แต่พอเป็นกรณีของทีมชาติ อังกฤษ นายใหญ่ชาว อิตาเลี่ยน กลับอยู่ในตำแหน่งได้แค่ 3 ปีเศษ ๆ โดยไม่ประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะประกาศลาออกเพราะไม่เห็นด้วยที่ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ สั่งแบน จอห์น เทอร์รี่ จากข้อหาการเหยียดสีผิว แอนทอน เฟอร์ดินาน ซึ่งก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ในตอนนั้น
9. ดอน เรวี่
ช่วงเวลาการคุมทีม : 1974-1977
จำนวนนัด : 29 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 48%
ตำนานฮีโร่ของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีม ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนายใหญ่ทีมชาติ อังกฤษ ด้วยความหวังว่าจะพาทีมประสบความสำเร็จเหมือนที่เขาทำได้กับสโมสร ยูงทอง แต่เรื่องจริงกลับได้หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อ เรวี่ ไม่อาจทำผลงานได้ตามเป้าเหมือนกุนซือคนก่อน ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงก็แอบโชคร้ายเพราะตัวผู้เล่นทีมชาติ อังกฤษ ในชุดแชมป์โลกเริ่มทยอยโรยรากันไปแล้วในเวลานั้น ส่วนดาวเตะหน้าใหม่ก็เติบโตไม่ทันใช้งาน จนสุดท้าย เรวี่ กระเด็นตกเก้าอี้ผู้จัดการทีมชาติไปในที่สุด
8. เกรแฮม เทย์เลอร์
ช่วงเวลาการคุมทีม : 1990-1993
จำนวนนัด : 38 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 47%
กุนซือผู้ล่วงลับที่ครั้งหนึ่งเคยคุมทีมชาติ อังกฤษ ได้อย่างไม่น่าประทับใจสักเท่าไร เขาพาทีมตกรอบแบ่งกลุ่ม ยูโร 1992 ก่อนจะโชว์ผลงานย่ำแย่อย่างต่อเนื่องด้วยการพาทีมพลาดไปเล่น ฟุตบอลโลก 1994 รอบสุดท้าย ซึ่งในที่สุดเจ้าตัวก็ต้องออกมาประกาศลงจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบด้วยตนเอง
7. รอน กรีนวู้ด
ช่วงเวลาการคุมทีม : 1977-1982
จำนวนนัด : 55 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 60%
รอน กรีนวู้ด พาทีมชาติ อังกฤษ เข้าไปเล่นใน ฟุตบอลโลก 1982 ซึ่งนับเป็น ฟุตบอลโลก หนแรกในรอบ 12 ปี และอีกหนึ่งโมเม้นต์ที่โลกจดจำคือเขาเป็นผู้จัดการทีมที่เรียกนักเตะผิวสีคนแรกติดทีมชาติอีกด้วย โดยเจ้าตัวเคยพูดว่า "จะผิวสีเหลือง ม่วง หรือดำ ถ้าเขาดีพอ ผมก็เลือกเขา" แม้ กรีนวู้ด จะเป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่สามารถพาทีม สิงโตคำราม คว้าแชมป์ได้ แต่สปิริตของเขาก็เป็นที่น่าจดจำอยู่ไม่น้อย
6. สเวน โกรัน อีริคส์สัน
ช่วงเวลาการคุมทีม : 2001-2006
จำนวนนัด : 67 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 60%
ผู้จัดการทีมต่างชาติคนแรกในประวัติศาสตร์ทีมชาติ อังกฤษ สร้างเสียงฮือฮาได้อย่างมากมายท่ามกลางความหวังที่จะพาทีมกลับไปยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง แต่ในความเป็นจริง สเวน โกรัน อีริคส์สัน พาทีมชาติ อังกฤษ ไปไกลได้แค่รอบ 8 ทีมใน 3 เมเจอร์ทัวร์นาเม้นต์ จนในที่สุดเขาก็ต้องลงจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวผู้เล่นทีม สิงโตคำราม มีศักยภาพไปไกลได้มากกว่ารอบ 8 ทีม
5. เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์
ช่วงเวลาการคุมทีม : 1994-1996
จำนวนนัด : 23 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 48%
อดีตนักเตะและกุนซือมากฝีมือผู้ซึ่งเคยพา บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ ลา ลีกา มาแล้วในสมัยช่วงท็อปฟอร์ม จนกระทั่งเขาได้ทำงานในฐานะกุนซือทีมชาติ อังกฤษ ก่อนจะพาทีมเข้าไปเกือบถึงฝั่งฝันในรอบรองชนะเลิศฟุตบอล ยูโร 96 ซึ่ง อังกฤษ เป็นเจ้าภาพในปีนั้น แต่สุดท้ายก็ไปพลาดท่าแพ้ เยอรมัน ในการดวลจุดโทษ ซึ่ง เยอรมัน ก็จบด้วยการเป็นแชมป์ในปีนั้นด้วย
4. แกเร็ธ เซาธ์เกต
ช่วงเวลาการคุมทีม : 2016-ปัจจุบัน
จำนวนนัด : 93 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 63%
แม้จะโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากหลายทิศทาง แต่ถ้ามองดูจากตัวเลข แกเร็ธ เซาธ์เกต ถือเป็นกุนซือทีมชาติ อังกฤษ ที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดคนนึงในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ รวมถึงมีอัตราการคุมทีมชนะที่ไม่แย่อีกด้วย โดยกุนซือวัย 53 ปีคนนี้เคยพาอังกฤษ เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอล ยูโร 2020 ซึ่งนับว่าเป็นก้าวที่เข้าใกล้คำว่าแชมป์มากที่สุดของทัพ สิงโตคำราม ในรอบหลายปี ต้องมาดูกันว่าใน ยูโร 2024 เซาธ์เกต จะพา อังกฤษ ไปได้ไกลถึงฝั่งฝันหรือไม่
3. เซอร์ วอลเตอร์ วินเทอร์บอตทอม
ช่วงเวลาการคุมทีม : 1946-1962
จำนวนนัด : 139 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 56%
หากคุณไม่รู้จัก เซอร์ วอลเตอร์ วินเทอร์บอตทอม ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไร เพราะเขาคือผู้จัดการทีมชาติ อังกฤษ คนแรกในประวัติศาสตร์ โดยดำรงตำแหน่งอยู่ได้ถึง 16 ปี และพาทีม สิงโตคำราม ลุย ฟุตบอลโลก ถึง 4 ครั้งด้วยกัน แม้จะไม่มีสักครั้งที่เขาพา อังกฤษ คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ แต่ก็นับว่าเป็นปูชนียบุคคลของวงการลูกหนังเมืองผู้ดีคนหนึ่งเลยทีเดียว
2. เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน
ช่วงเวลาการคุมทีม : 1982-1990
จำนวนนัด : 95 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 50%
ว่ากันว่านี่คือหนึ่งในผู้จัดการทีม อังกฤษ ที่ดีที่สุดตลอดกาล โดยผลงานที่เด่นชัดที่สุดคือการที่ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน พาทีมชาติ อังกฤษ ทะลุเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1990 ซึ่งทีมที่ประกอบไปด้วยดาวเตะคุณภาพคับแก้วอย่าง พอล แกสคอยน์, แกรี่ ลินิเกอร์, เดวิด แพ็ท, คริส ว็อดเดิ้ล และอีกมากมาย ร่วมกับความเก๋าเกมของกุนซือรายนี้ ทำให้ อังกฤษ ชุดนั้นดูแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดจนลงฟาดแข้งได้อย่างสูสีกับ เยอรมัน ที่เป็นทีมเต็งในยุคนั้น แม้สุดท้ายจะโชคร้ายแพ้จุดโทษตกรอบไปก็ตาม
1. เซอร์ อัลฟ์ แรมซีย์
ช่วงเวลาการคุมทีม : 1963-1974
จำนวนนัด : 113 เกม
เปอร์เซ็นต์ชนะ : 61%
ผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลของทีมชาติ อังกฤษ เพราะเขาคือหนึ่งเดียวผู้พาทีม สิงโตคำราม คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของประวัติศาสตร์ชาติจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งเจ้าตัวยังเป็นผู้ปฏิวัติฟุตบอลทีมชาติ อังกฤษ ด้วยการเข้ามาเลือกนักเตะติดธงด้วยตัวของเขาเอง ซึ่งก่อนหน้านั้น สมาคมฟุตบอลอังกฤษ จะใช้คณะกรรมการคัดเลือกผู้เล่นเข้ามาโดยตลอด ซึ่ง เซอร์ อัลฟ์ แรมซีย์ ไม่ยอม และด้วยความเด็ดขาดของเขาก็ทำให้ อังกฤษ เป็นแชมป์โลกได้สำเร็จในปี 1966