โคดี้ กัคโป รายล่าสุดติดท็อป! จัดอันดับ 10 นักเตะแพงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร ลิเวอร์พูล - RANKING
โดย โตมร นวลประเสริฐ
จัดอันดับ 10 นักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล แห่งศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ อัพเดทล่าสุดหลังการทุ่มทุน ตลาดซื้อขายนักเตะ มกราคม 2023 ของ หงส์แดง ในการคว้าตัว โคดี้ กัคโป จาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน มาร่วมทัพแบบสายฟ้าแลบ
*อ้างอิงข้อมูลจาก Transfermarkt.com
10. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ - 42 ล้านยูโร (ราว 36.5+6.5 ล้านปอนด์)
จาก: อาเอส โรมา
ฤดูกาล: 2017/18
หนึ่งในดีลสำคัญของ หงส์แดง ที่คุ้มค่าทุกเพนนีเมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลายเป็นแข้งผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับทีมเมื่อย้ายมาร่วมถิ่น แอนฟิลด์ จาก โรมา ในซีซัน 2017/18
แค่เพียงฤดูกาลแรกเขาก็กลายเป็นดาวซัลโวสูงสูดของ พรีเมียร์ลีก ทันทีที่จำนวน 32 ประตูและมีส่วนสำคัญพาทีมกรุยทางสู่นัดชิงชนะเลิศของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แม้จะอกหักปราชัยต่อ เรอัล มาดริด
ทัพ เร้ดแมชีน ที่มี ซาลาห์ นำทัพกลายเป็นแชมป์ยุโรปในซีซันถัดมาพ่วงดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก (ร่วม) กับ ซาดิโอ มาเน และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง โดยฤดูกาลให้หลังจากนั้นเขาก็พาโทรฟีลีกสูงสุดแดนผู้ดี หวนคืนสู่ แอนฟิลด์ เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ทศวรรษ
9. โคดี้ กัคโป - 42 ล้านยูโร (ราว 37+7 ล้านปอนด์)
จาก: พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน
ฤดูกาล: 2022/23
ลูกหม้อของ พีเอสวี ชาวดัตช์ที่เดบิวต์กับทีมใน เอเรดิวิซี ฤดูกาล 2017/18 ก่อนจะยกระดับลงเล่นกับทีมต่อเนื่องในซีซันถัดมาและกลายเป็นตัวหลักของทีมฤดูกาล 2019/20
โคดี้ กัคโป แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในซีซัน 2021/22 กับสถิติ 21 ประตูกับ 15 แอสซิสต์ด้วยวัย 22 ปี เถลิงเกียรติยศส่วนตัวนักเตะดัตช์นอดเยี่ยมประจำฤดูกาลดังกล่าว รวมทั้งทำให้เขาก้าวขึ้นไปติดธงทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ชุดใหญ่กระทั่งเป็นตัวหลักให้กับพลพรรค กังหันลม ใน ฟุตบอลโลก กาตาร์ 2022
โดยล่าสุด ก่อนหน้าที่ ตลาดซื้อขายนักเตะมกราคม 2023 จะเริ่มต้นขึ้นเพียงไม่กี่วัน พีเอสวี ก็ได้ประกาศยืนยันปล่อยตัว โคดี้ กัคโป ให้กับ ลิเวอร์พูล อย่างเป็นทางการ
8. ดิโอโก้ โชต้า - 44.70 ล้านยูโร (ราว 40+5 ล้านปอนด์)
จาก: วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส
ฤดูกาล: 2020/21
อดีตแข้ง แอตเลติโก มาดริด ผู้แจ้งเกิดเต็มตัวกับ วูล์ฟส์ ตั้งแต่อยู่ในลีก แชมเปี้ยนชิพ และกลายเป็นส่วนสำคัญพาทัพ หมาป่า เลื่อนชั้นขึ้นมาโลดแล่นบนเวที พรีเมียร์ลีก สำเร็จ
โชต้า ใช้เวลาบนลีกสูงสุดเมืองผู้ดีกับ วูล์ฟส์ ต่อจากนั้นอีก 2 ฤดูกาลก่อนที่เขาจะกลายเป็นสมาชิกของ ลิเวอร์พูล ในซัมเมอร์ 2020 โดยฤดูกาล 2021/22 กลายเป็นซีซันที่เจ้าตัวมีสถิติผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในเส้นทางค้าแข้งกับตัวเลข 21 ประตู 8 แอสซิสต์จากการลงสนาม 55 นัดเมื่อรวมทุกรายการ
น่าเสียดายไม่น้อยที่กองหน้าทีมชาติ โปรตุเกส ถูกปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานเป็นส่วนใหญ่สำหรับฤดูกาล 2022/23
7. ฟาบินโญ - 45 ล้านยูโร (ราว 43.7 ล้านปอนด์)
จาก: โมนาโก
ฤดูกาล: 2018/19
อดีตแข้ง โมนาโก ชุดประวัติศาสตร์เถลิงแชมป์ ลีกเอิง 2016/17 ผู้ก้าวเข้ามาเป็นหัวใจสำคัญที่แดนกลางของ ลิเวอร์พูล ได้ทันทีนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมถิ่น แอนฟิลด์
ฟาบินโญ พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ทันทีนับตั้งแต่ซีซันแรกต่อด้วยการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลถัดมาและยังคงเป็นคีย์แมนในทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จนถึงเวลานี้
6. คริสเตียน เบนเตเก้ - 46.50 ล้านยูโร (ราว 32.5 ล้านปอนด์)
จาก: แอสตัน วิลลา
ฤดูกาล: 2015/16
อดีตกองหน้าเจ้าของสถิติแข้ง หงส์แดง ค่าตัวแพงสุดตลอดกาลอันดับที่ 2 ในเวลาดังกล่าวเป็นรองเพียงดีล แอนดี้ แคร์โรลล์ (35 ล้านปอนด์จาก นิวคาสเซิล) ผู้ย้ายเข้ามาเป็นความหวังในถิ่น แอนฟิลด์ คล้อยหลังจากที่พวกเขาปล่อยตัว ราฮีม สเตอร์ลิง (49 ล้านปอนด์) เพียงสัปดาห์เดียวภายใต้การคุมทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
แต่การเปลี่ยนผ่านจาก ร็อดเจอร์ส สู่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ระหว่างทางทำให้เขากลายเป็นเพียงอะไหล่บนม้านั่งสำรองในครึ่งฤดูกาลหลัง กระทั่งบอกลาทีมในที่สุดเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลกับสถิติ 10 ประตูจากการลงเล่น 42 นัด
ปัจจุบันเจ้าตัวยังโลดแล่นบนเวทีลูกหนังกับ ดีซี ยูไนเต็ด ใน เมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ สหรัฐอเมริกา ด้วยวัย 32 ปี
5. หลุยส์ ดิอาซ - 47 ล้านยูโร (ราว 37.5+12.5 ล้านปอนด์)
จาก: เอฟซี ปอร์โต้
ฤดูกาล: 2021/22
แข้งตัวรุกริมเส้นชาว โคลอมเบีย ผู้สร้างชื่อกับ ปอร์โต้ กับสถิติระดับปรอทแตก 14 ประตู 5 แอสซิสต์จากการลงสนามใน พริเมรา ลีกา 18 นัดและยังไม่จบฤดูกาลดี ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็เดินเกมเร็วปิดดีล ดิอาซ มาร่วมทัพตั้งแต่ตลาดหน้าหนาว 2022 ทันที
ดิอาซ แทบไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวมากนักและงัดผลงานระดับหวังผลได้กับ เร้ดแมชีน ได้ทันที เบ็ดเสร็จตะบัน 6 ประตูกับ 5 แอสซิสต์จากการลงเล่น 26 นัดในระยะเวลาครึ่งซีซันแรกกับ หงส์แดง
4. นาบี เกอิต้า - 60 ล้านยูโร (48+4.75 ล้านปอนด์)
จาก: แอร์เบ ไลป์ซิก
ฤดูกาล: 2018/19
ดีลที่ ลิเวอร์พูล ยืนยันปิดดีลกับข้ามฤดูกาล เหล่า เดอะค็อป ต้องอดทดรอราว 1 ปีกว่าจะได้เห็น นาบี เกอิต้า ลงสนามในยูนิฟอร์ม หงส์แดง
เกอิต้า สร้างความคาดหวังกับเสื้อหมายเลข 8 ในทีมอันเป็นเบอร์เก่าของตำนานแข้งอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด พร้อมกับได้รับโอกาสวาดลวดลายที่แดนกลางต่อเนื่องตั้งแต่ซีซันแรก
น่าเสียดายไม่น้อยที่สภาพร่างกายที่เปราะบางของ เกอิต้า ทำให้เขาพลาดชวดการลงสนามอยู่บ่อยครั้งกระทั่งปัจจุบัน
3. อลิสซอน เบ็คเกอร์ - 62.50 ล้านยูโร (ราว 66.8 ล้านปอนด์)
จาก: อาเอส โรมา
ฤดูกาล: 2018/19
หนึ่งในการเซ็นสัญญาที่มีส่วนสำคัญในการขีดเขียนหน้าประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล สร้างความสำเร็จให้กับ หงส์แดง ในช่วงไม่กี่ปีหลัง
อลิสซอน เบ็คเกอร์ กลายเป็นผู้รักษาประตูค่าตัวแพงที่สุดในโลกในเวลาดังกล่าวเมื่อย้ายจาก โรมา ซบตักทัพ เร้ดแมชีน ทำลายสถิติเดิมของ เอแดร์ซอน โมราเอส (35 ล้านปอนด์จาก เบนฟิก้า สู่ แมนฯ ซิตี้) ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะตกเป็นของ เกปา อาร์ริซาบาลากา ในเวลาต่อมา (71.6 ล้านปอนด์ จาก แอธฯ บิลเบา สู่ เชลซี)
อลิสซอน พัฒนาฝีมือการเซฟจนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดแห่งยุคสมัยจนคว้าเกียรติยศอย่างรางวัล ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมโดย ฟีฟ่า (2019) มาแล้ว
2. ดาร์วิน นูนเญซ - 80 ล้านยูโร (64+21 ล้านปอนด์)
จาก: เบนฟิก้า
ฤดูกาล: 2022/23
ดาวยิงชาว อุรุกวัย ผู้ปักหมุดโบยบินสู่แผ่นดินยุโรปกับ อัลเมเรีย ใน เซกุนด้า สเปน ก่อนที่จะใช้เวลาปรับตัวกับ เบนฟิก้า ใน โปรตุเกส อยู่ 1 ฤดูกาลเต็มๆ และแผลงฤทธิ์ถลุงตาข่ายเป็นว่าเล่นในซีซันถัดมา
นูนเญซ จบฤดูกาล 2021/22 กับ เบนฟิก้า ด้วยสถิติ 34 ประตู 4 แอสซิสต์จากการลงเล่น 41 นัดเมื่อรวมทุกรายการและกลายเป็นดาวซัลโวของลีกสูงสุดแดน ฝอยทอง ในปีนั้น ผลงานดังกล่าวทำให้เขากลายเป็นกองหน้าคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล ทันทีในซัมเมอร์ถัดมา
การย้ายทีมด้วยมูลค่ามหาศาลทำให้เขาถูกตั้งความหวังไว้สูงลิบ และมักถูกนำไปเทียบกับคู่ปรับบน พรีเมียร์ลีก ของ หงส์แดง อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่คว้าตัว เออร์ลิง ฮาลันด์ มาในตลาดรอบเดียวกัน
1. เวอร์จิล ฟาน ไดค์ - 84.65 ล้านยูโร (ราว 75 ล้านปอนด์)
จาก: เซาแธมป์ตัน
ฤดูกาล: 2017/18
ปราการหลังผู้ย้ายมาร่วมถิ่น แอนฟิลด์ ตั้งแต่ตลาดมกราคม 2018 ด้วยสถิติสูงสุดของนักเตะในตำแหน่งกองหลังในเวลาดังกล่าว และกลายเป็นหัวใจสำคัญที่แผงแนวรับของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทันทีจนถึงเวลานี้
การยกระดับเกมรับโดย ฟาน ไดค์ ตั้งแต่ซีซันแรกพาทีมไปไกลถึงการทะลุเข้าชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แม้จะอกหักในซีซันดังกล่าว แต่ความสำเร็จหลังจากนั้นทั้งถ้วยบิ๊กเอียร์, แชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ คาราบาว คัพ ต่างก็มีเขาเป็นองค์ประกอบสำคัญ
ความสำคัญของเจ้าตัวกับทีมพิสูจน์ให้เห็นในฤดูกาล 2020/21 ที่เจ้าตัวเจ็บหนักจนต้องพักยาวตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลไม่นาน เกมรับของ ลิเวอร์พูล เป๋ไปอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะกลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้งเมื่อ VVD สลัดอาการเดี้ยงในซีซันถัดมา
ฟาน ไดค์ ยังคงยืนหนึ่งเป็นเซ็นเตอร์แบ็คที่ทีมของ คล็อปป์ ไม่สามารถขาดเขาไปได้ไม่ว่าทีมจะคว้าตัวแนวรับคนใหม่ใดๆ เข้ามา