เรอัล มาดริด 0-4 บาร์เซโลนา: ตัดเกรดนักเตะและบทสรุปความเป็นไปหลังศึก เอล กลาซิโก้
โดย โตมร นวลประเสริฐ
การแข่งขัน: ฟุตบอล ลา ลีกา สเปน 2021/22
วันแข่งขัน: คืนวันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2022 (เช้าตรู่ของวันจันทร์ที่ 21)
เวลาแข่งขัน: 03:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน: เรอัล มาดริด 0-4 บาร์เซโลนา
สนาม: ซานติเอโก้ เบอร์นาเบว
บาร์เซโลนา บุกถล่มเอาชนะ เรอัล มาดริด ขาดลอย 4-0 จาก 2 ประตูของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง และ โรนัลด์ อเราโฆ กับ เฟร์ราน ตอร์เรส
บาร์เซโลนา เป็นฝ่ายทำประตูเบิกร่องขึ้นนำก่อน 1-0 ในนาทีที่ 29 เมื่อ อุสมาน เดมเบเล กระชากถึงสุดเส้นหลังก่อนเปิดให้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง โขกเหน่งๆ ผ่านมือ ธิโบต์ กูร์ตัวส์ บอลไปซุกที่ก้นตาข่าย
ให้หลังจากนั้นราว 10 นาที ทีมเยือนทิ้งห่างเป็น 2-0 จากลูกเตะมุมเมื่อ เดมเบเล เปิดให้ โรนัลด์ อเราโฆ ขึ้นโขกเหน่งๆ เอาชนะ ดาวิด อลาบา ชนิดสุดปัญหาที่ กูร์ตัวส์ จะป้องกันได้
ครึ่งหลังกลับมาเล่นได้ไม่กี่อึดใจ บาร์ซา ทะยานหนีห่างเป็น 3-0 จากการขึ้นเกมที่กราบขวา บอลจาก เดมเบเล พลิกให้ เฟรงกี้ เดอ ยอง ได้ก่อนไปถึง โอบาเมยอง ไขว้เร็วให้ ตอร์เรส วิ่งเข้ามาล่อเป้าไม่พลาด
ถัดจากนั้นชั่วพริบตา ทีมของ ชาบี ทิ้งขาดเป็น 4-0 จากบอลวางยาวที่แนวรับให้ ตอร์เรส เอาชนะ เฟร์นานเดซ เก็บบอลได้ก่อนแทงให้ โอบาเมยอง หลุดเข้าไปชิพข้ามตัว กูร์ตัวส์ สบายเท้า แม้ผู้กำกับเส้นจะชูธงให้เป็นจังหวะล้ำหน้าแต่การพิจารณาจาก วีเออาร์ ให้ฝั่งทีมเยือนได้ประตูและจบเกมไปด้วยสกอร์ดังกล่าว
รายชื่อผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม
เรอัล มาดริด: กูร์ตัวส์; การ์บาฆาล (ดิอาซ 46'), มิลิเตา, อลาบา, เฟร์นานเดซ (ลูคัส 63'); คาเซมิโร; บัลเบร์เด้, โมดริช, โครส (คามาแว็งก้า 46'), วินิซิอุส จูเนียร์; โรดรีโก้ (อเซนซิโอ 63')
สำรองที่ไม่ได้ใช้งาน: เซบายอส, อาซาร์, อิสโก้, โยวิช, ลูนิน, มาร์เซโล, ปิเนโร เดล อลาโม, บาเยโฆ
บาร์เซโลนา: แทร์ สเตเก้น; อเราโฆ, ปิเก้, การ์เซีย, อัลบา (อัลเวส 86'); เดอ ยอง (กาบี 71'), บุสเก็ตส์, เปดรี (นิโก้ 86'); เดมเบเล (ตราโอเร 80'), โอบาเมยอง (เดปาย 71'), ตอร์เรส
สำรองที่ไม่ได้ใช้งาน: เบรธเวท, ลุค เดอ ยอง, ล็องเลต์, มินเกซา, เนโต้, ปูอิก, เตนาส
คะแนนนักเตะ เรอัล มาดริด
11 ผู้เล่นตัวจริง: กูร์ตัวส์ (4/10); การ์บาฆาล (1/10), มิลิเตา (1/10), อลาบา (2/10), เฟร์นานเดซ (2/10); คาเซมิโร (2/10); บัลเบร์เด้ (4/10), โมดริช (2/10), โครส (2/10), วินิซิอุส จูเนียร์ (3/10); โรดรีโก้ (2/10)
ตัวสำรอง: ดิอาซ (4/10), คามาแว็งก้า (4/10), ลูคัส (5/10), อเซนซิโอ (5/10)
คีย์แมน เรอัล มาดริด - เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้
เป็นนักเตะเพียงคนเดียวของ เรอัล มาดริด ที่ดูมีความมุ่งมั่นและกระตือรือล้นในการทำเกมรุกจากกลางสนาม มิดฟิลด์ชาว อุรุกวัย คอยเปลี่ยนจังหวะที่แดนกลาง วิ่งแบบไดเร็กต์ทลายโซนรับของ บาร์ซา ประสานงานร่วมกับ วินิซิอุส จูเนียร์ และ โรดรีโก้ แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีนักจากเพื่อนร่วมทีมรายอื่น
คะแนนนักเตะ บาร์เซโลนา
11 ผู้เล่นตัวจริง: แทร์ สเตเก้น (6/10); อเราโฆ (8/10), ปิเก้ (7/10), การ์เซีย (7/10), อัลบา (7/10); เดอ ยอง (8/10), บุสเก็ตส์ (7/10), เปดรี (9/10); เดมเบเล (8/10), โอบาเมยอง (9/10), ตอร์เรส (9/10)
ตัวสำรอง: เดปาย (6/10), กาบี (5/10), ตราโอเร (N/A), นิโก้ (N/A), อัลเวส (N/A)
คีย์แมน บาร์เซโลนา - ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง
ทำ 2 ประตูเป็นส่วนสำคัญกับชัยชนะของทีม เจ้าตัวน่าจะยิงได้มากกว่านี้จากโอกาสที่ได้รับ เป็นส่วนเติมเต็มสิ่งที่ บาร์ซา ขาดหายในช่วงครึ่งฤดูกาลแรกอย่างแท้จริง นอกจากนั้นยังได้แอสซิสต์จากการไขว้ให้ ตอร์เรส ยิงประตู 3-0 อีกด้วย นับเป็นการทำประตูให้กับ บาร์ซา เป็นนัดที่ 3 ติดต่อกันเข้าไปแล้ว และเป็น 7 ประตูจากการลงเล่น 7 เกมใน ลา ลีกา
ประเด็นหลังเกม
เกมออกสตาร์ทด้วยสปีดของ โรดรีโก้ กับ วินิซิอุส จูเนียร์ ที่คอยปั่นป่วนสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ บาร์เซโลนา อย่างต่อเนื่องโดยมี เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ เป็นตัวสอดทะลุทะลวงจากแดนกลางประสานงานร่วมกับวันเดอร์คิด บราซิเลียน ที่แดนสุดท้าย
ความเร็วของฝั่ง บาร์ซา จาก เฟร์ราน ตอร์เรส สร้างปัญหาให้กับ ดานี การ์บาฆาล ในจังหวะต่อมาไม่ต่างกันแต่เป็นความยอดเยี่ยมของ ธิโบต์ กูร์ตัวส์ ที่ดับเบิลเซฟ 2 จังหวะเน้นๆ จากการยิงของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กับ อุสมาน เดมเบเล ให้ทีมรอดพ้นจากการเสียประตูในช่วง 10 นาทีแรกของเกม
เกมหลังผ่าน 15 นาทีกลายเป็นทีมเยือนที่รักษาโมเมนตัมไว้ได้ดีกว่า กระทั่งเกมที่ริมเส้นของพวกเขาแผลงฤทธิ์อีกครั้งเมื่อ อุสมาน เดมเบเล กระชากเอาชนะ นาโช เฟร์นานเดซ ที่กราบขวาถึงสุดเส่นหลังก่อนเปิดยัดเข้ากรอบ 6 หลาให้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง โขกในระยะเผาขนตุงตาข่าย
บอลอยู่ในการครอบครองต่อเนื่องของทัพ อาซูลกรานา หลังจากที่พวกเขาได้ประตู แต่เป็น ราชันชุดขาว ที่ได้ลุ้นโอกาสตีเสมอจากการแทงทะลุช่องของ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ ให้ วินิซิอุส หลุดเดี่ยวเกือบครึ่งสนามแต่จับบอลจังหวะแรกยาวทะลักเข้าทาง มาร์ค-อันเดร แทร์ สเตเก้น
เกมทำท่าจะร้อนแรงหลังจากจังหวะต่อเนื่องที่ดูเหมือนว่า วินิซิอุส จะพยายามพุ่งล้มเอาจุดโทษแต่กลายเป็นเจ้าถิ่นที่มาได้ประตู 2-0 ดับดีกรีของเกมที่ส่อแววปะทะจากลูกเตะมุมของ เดมเบเล โยนให้ โรนัลด์ อเราโฆ โขกเหน่งๆ
ครึ่งหลัง คาร์โล อันเชลอตติ พยายามแก้เกมอย่างรวดเร็วด้วยการเปลี่ยนเอา มาเรียโน ดิอาซ กับ เอดูอาร์โด้ คามาแว็งก้า ลงมาแทนที่ ดานี การ์บาฆาล ที่ถูก เฟร์ราน ตอร์เรส เผาหัวในครึ่งแรก กับ โทนี โครส ซึ่งได้รับใบเหลือง แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยชะลอความร้อนแรงเกมรุกที่ริมเส้นของทีมเยือนได้เลยและกลายเป็นเสียประตู 3-0 (ตอร์เรส) กับ 4-0 (โอบาเมยอง) ในช่วงระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 5 นาที